วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ประวัติพระไภษัชยคุรุตถาคต (Bhaisajyaguru Tathagata : 藥師如來 )



พระประวัติ พระไภษัชยคุรุตถาคต
(Bhaisajyaguru Tathagata)







พระไภษัชยคุรุตถาคต (คำว่า ตถาคตแปลว่า พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ตรงกับภาษาจีนว่า “หยูไล” ซึ่งเป็นอีกพระนามหนึ่งสำหรับเรียกขานพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ดังนั้นคำว่าตถาคต และพุทธเจ้าจึงมีความหมายเดียวกัน) ทรงมีพระนามเต็มว่า พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต(藥師琉璃光如來) มีความหมายของพระนามดังนี้ว่า ไภษัชย(藥) แปลว่ายา,โอสถรักษาโรค คุรุ(師) แปลว่าครู,ผู้เชี่ยวชาญ ไวฑูรยประภา(琉璃光) แปลว่าแสงรัศมีสีน้ำเงินดั่งแก้วไวฑูรย์ ซึ่งโดยรวมแล้วคือ พระตถาคตเจ้าผู้เป็นบรมครูแห่งโอสถรักษาโรคผู้มีแสงรัศมีสีน้ำเงินดั่งแก้วไวฑูรย์ เช่นนี้ และพระองค์ยังทรงมีพระนามว่า มหาแพทยราชาพุทธเจ้า (大醫王佛) และ มหาไภษัชยราชพุทธเจ้า (大藥王佛)

พระปฏิมาของพระองค์ทางจีนจะประสานหัตถ์ในท่าสมาธิและมีรัตนเจดีย์ ๗ ชั้นบ้าง ๙ ชั้นบ้างบนพระหัตถ์ ทางธิเบตจะวาดพระวรกายของพระองค์ให้มีสีน้ำเงินเข้ม(เหมือนไวฑูรย์) ทรงขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวาทรงถือต้นยาสมุนไพรในลักษณะแบบพระหัตถ์ออกมาเบื้องหน้า(ทางจีนให้ถือเห็ดหลินจือ เพราะเชื่อว่าเป็นเห็ดอายุวัฒนะของเซียน) หงายวางบนพระชานุ พระหัตถ์ซ้ายทรงบาตรบนพระเพลา ภายในบาตรบรรจุทิพยโอสถ ชื่อว่า “อคทะ” เป็นคำคุณศัพท์ ในความหมายว่าแข็งแรงสุขภาพดี ถ้าเป็นคำนาม แปลว่า ยาบำบัดโรค หรือชื่อยาที่แก้พิษได้ (บ้างก็ว่าชื่อ อรุระ arura หรือ myrobalan, fruit) ไม่เว้นแต่โรคาพาธในมนุษย์โลกแห่งนี้เท่านั้น ไม่ว่าโรคชนิดต่างๆของเทวดา เปรต เดรัจฉานและอื่นๆ ที่ขึ้นขื่อว่าเป็นสรรพสัตว์ยังต้องเวียนว่าย พระองค์ก็ทรงสามารถรักษาได้ทั้งสิ้น เพราะการที่ต้องว่ายเวียนในสังสารวัฏนั้นถือเป็นโรคาพาธที่ร้ายแรงกว่าโรคทางกาย กล่าวโดยสรุปพระองค์ทรงสามารถเยียวยารักษาโรคทางกายและโรคทางกรรมของสรรพสัตว์ทั้งปวง และทรงลักษณะของมหาบุรุษ ทรงจีวรเหมือนพระพุทธเจ้าทั่วไป

พระไภษัชยคุรุ ทรงมีพระสูตรของพระองค์เองคือ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร[1] ซึ่งแปลจากภาษาสันสกฤตสู่ภาษาจีน โดยพระตรีปิฎกธราจารย์เฮี้ยนจั๋ง(พระถังซำจั้ง) ในปี พ.ศ. ๑๑๙๓ ภายในเล่มกล่าวว่า “สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าศากยมุนี ทรงจาริกไปถึงเมืองไวศาลี แล้วประทับอยู่ใต้ร่มพฤกษชาติชนิดหนึ่งที่ยามลมพัดใบไม้จะสั่นไหวเป็นเสียงดนตรี ครั้งนั้นมีมหาภิกษุจำนวน ๘,๐๐๐ รูป มหาโพธิสัตว์จำนวน ๓๖,๐๐๐ พระองค์ แล้วพระมัญชุศรีโพธิสัตว์(โพธิสัตว์แห่งมหาปัญญา) ได้กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ตรัสแสดงถึงพระนาม พระปณิธานของพระพุทธเจ้า และอานิสงค์แห่งการบูชาพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ ครั้นแล้วพระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาว่านับจากโลกธาตุแห่งนี้ไปทางด้านบูรพาทิศ(ตะวันออก)ผ่านโลกธาตุดินแดนต่างๆไปมากมายเท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาจำนวนถึง ๑๐ สายรวมกัน มีโลกธาตุแห่งหนึ่งนามว่า “ศุทธิไวฑูรย์”(淨琉璃世界) บางสูตรอาจแปลว่า “ปูรณจันทรโลกธาตุ” (滿月世界)และมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า “ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา”

จากนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงทรงบรรยายถึงพระมหาปณิธานทั้ง ๑๒ ประการของพระไภษัชยคุรุ (โดยย่อ) ดังนี้
๑. จะทรงฉายรัศมีประภาสไปยังโลกต่างๆ และจะยังให้สรรพสัตว์ได้สำเร็จพระโพธิญาณอย่างรวดเร็ว โดยมีมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และอสีตยานุพยัญชนะลักษณะ ๘๐ ประการเหมือนพระองค์(แสดงถึงความเสมอภาคเท่าเทียมกัน)



๒. จะทรงฉายรัศมีประภาสที่สว่างกว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ สะอาดบริสุทธิ์ทั้งภายในและภายนอก(ความหมายคือ สะอาดทั้งกายและใจ หรือสะอาดทั้งสิ่งที่อยู่ภายในตนหรือวิชชา และสิ่งที่แสดงออกมาภายนอกหรือจรณะ) ไปยังนรกภูมิให้สรรพสัตว์ที่รับทุกขเวทนาอยู่ได้พ้นทุกข์ และสัตว์ที่ลุ่มหลงให้ตื่นขึ้นจากความโง่เขลา ลุ่มหลง



๓. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ถึงพร้อมในสิ่งของเครื่องใช้ทั้งปวงไม่รู้จักหมดสิ้นจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ



๔. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ และผู้ที่ปฏิบัติตนในมิจฉามรรค สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน ให้หันมาดำรงมั่นในมหายานธรรม (ดำรงตนเป็นโพธิสัตว์) จนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ



๕. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ที่ศีลด่างพร้อย กลับมีศีลที่บริสุทธิ์จนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ



๖. จะทรงยังให้สรรพสัตว์มีร่างกายที่อลังการสมบูรณ์ หายจากความพิกลพิการ เสียสติ โรคร้าย ฯลฯจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ



๗. จะทรงยังให้สรรพสัตว์พ้นจากความยากจนค้นแค้น มีที่พักอาศัย โรคภัยสิ้นสูญ มีครอบครัวที่ดี มีความสุขทั้งกายและใจจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ



๘. จะทรงยังให้สตรีเพศที่ได้รับทุกข์ทรมาน ต้องการเป็นบุรุษ ได้กลายเป็นบุรุษสมชายชาตรีดั่งใจจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ



๙. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ได้หลุดพันจากข่ายแห หรืออุบายของมาร แล้วได้บำเพ็ญในโพธิสัตวมรรค จนถึงได้สำเร็จพระโพธิญาณอย่างรวดเร็ว



๑๐. จะทรงยังให้สรรพสัตว์หลุดพ้นจากคดีความ อาญาหลวง พันธนาการ การคุมขัง และการโบยตีทั้งปวงจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ



๑๑. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ที่มีความจำเป็นต้องเลี้ยงชีพด้วยความชั่ว เนื่องจากความอดอยาก ได้รับความสุขที่แท้จริงโดยไม่ต้องทำความชั่วนั้นอีกจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ



๑๒. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ที่ยากไร้ ได้สมบูรณ์ในอาภรณ์แพรพรรณ เครื่องดนตรี ของหอม และสิ่งมีค่าทั้งปวงจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ.

ซึ่งพระสูตรข้างต้นนี้พระอารามบนเขาอู่ไถ่ มณฑลซานซี ได้จารึกด้วยโลหิตมนุษย์ทั้งเล่ม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาที่มีต่อพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า และพระมหาปณิธานแต่ละประการนั้น จะต่อท้ายด้วยคำว่า “จนถึงพระโพธิญาณ” อันหมายความว่าพระมหาปณิธานของพระองค์จะอนุเคราะห์ส่งผลแก่ผู้นั้นไปทุกๆ ภพชาติตลอดเวลาแสนนานจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณด้วย จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงวิธีการและอานิสงค์แห่งการกราบไหว้บูชา เช่นการจุดดวงประทีปบูชาจำนวน ๔๙ ดวง เป็นเวลา ๔๙ วัน โดยต้องสมาทานศีลบริสุทธิ์ ผู้ปฏิบัติต้องมีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์พร้อมกับบริจาคทาน อ่านท่องและเผยแผ่พระสูตรนี้ ฯลฯ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์และเทพเจ้าทั้งปวงก็จะให้การปกป้องดูแล ให้ปลอดภัย สมหวังและสุขภาพแข็งแรงหายจากโรคร้ายได้

ยังมีคัมภีร์อีกเล่มคือ “พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร”[2] ซึ่งแปลจากภาษาสันสกฤตสู่ภาษาจีนโดยพระมหาสมณะงี้เจ่ง สมัยราชวงศ์ถัง ในปี พ.ศ.๑๒๕๐ ภายในเล่มกล่าวถึงพระพุทธประวัติและมหาปณิธานของพระพุทธเจ้าจำนวน ๗ พระองค์ ซึ่งแต่ละพระองค์มีพระนามต่างกัน มีชื่อของโลกธาตุต่างกัน มีจำนวนมหาปณิธานไม่เท่ากัน ซึ่งล้วนประทับอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และมีมหาปณิธานคล้ายคลึงกับพระไภษัชยคุรุทั้ง ๑๒ ประการข้างต้น สาธุชนมหายานจึงเรียนขานว่า “พระไภษัชยคุรุทั้ง ๗ ” (藥師七佛)



พระไภษัชยคุรุทรงมีโพธิสัตว์อัครสาวกหรือผู้ช่วย ๒ พระองค์คือ พระสูรยประภาโพธิสัตว์ (日光遍照菩薩) และพระจันทรประภาโพธิสัตว์(月光遍照菩薩) ซึ่งเป็นคนละองค์กับพระสุริยเทพและจันทรเทพ อรรถาธิบายของจีนกล่าวว่า พระสูรยประภาทรงเปรียบเสมือน แสงแห่งปัญญาญาณที่เจิดจรัสและอบอุ่นยังให้สรรพสัตว์ตื่นขึ้นและรู้แจ้งเหมือนพระอาทิตย์ และพระจันทรประภาทรงเปรียบกับ แสงแห่งความเมตตาและกรุณา ที่ร่มเย็นใสสะอาด สามารถเป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด ยังให้สรรพสัตว์ที่หลงผิดได้รู้แจ้งเหมือนดังได้พบความสว่างในความมืดยามราตรี




พระมหาโพธิสัตว์ทั้งสองจึงคือผู้โปรดสรรพสัตว์ที่หลงผิดให้รู้แจ้งในสภาวะแห่งจิตของตน และเมื่อพบสภาวะเดิมแท้ของตนว่าไร้ซึ่งตัวตนแล้ว จึงหลุดพ้นจากมลทินทั้งปวงได้ มีจิตที่เป็นสัมมาทิฐิ ปราศจากอุปสรรคประดุจอากาศ ที่สามารถแทรกซึมไปในสถานที่ทั้งปวง และในพระสูตรทั้ง ๒ เล่มของพระไภษัชยคุรุได้กล่าวถึงพระมหาโพธิสัตว์อีก ๘ พระองค์ที่จะเสด็จมารับดวงวิญญาณผู้ที่ปฏิบัติบำเพ็ญในพระพุทธนามของพระองค์ เพื่อมารับไปเกิดยังศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรดังนี้ ๑.มัญชุศรีโพธิสัตว์ ๒.อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ๓.มหาสถามปราปตโพธิสัตว์ ๔.อักษยมติโพธิสัตว์ ๕.ทานรัตนศรีโพธิสัตว์ ๖.ไภษัชยราชาโพธิสัตว์ ๗.ไภษัชยสมุทคเตโพธิสัตว์ ๘.เมตไตรยโพธิสัตว์

ในพระสูตรกล่าวว่า “ในอดีตกาลที่แสนยาวนาน ได้มีพระอสุนีประภาสพุทธเจ้า(電光佛)ทรงอุบัติขึ้นในโลก ครั้งนั้นมีพราหมณ์ผู้หนึ่ง มีบุตร ๒ คน แต่พราหมณ์นั้นเกิดความเบื่อหน่ายต่อความทุกข์ของโลก และได้พบเห็นความทุกข์เวทนาของสรรพสัตว์ ครั้นแล้วจึงประกาศปฏิญาณว่าจะช่วยเหลือและบำบัดทุกข์โศกโรคภัยของสรรพสัตว์ทั้งปวง พระอสุนีประภาสพุทธเจ้าจึงทรงสดุดีสรรเสริญ และยกย่องพราหมณ์นั้นว่า “แพทยราช” บุตรทั้งสองนั้นก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สูรยประภา” และ “จันทรประภา” ต่อมาพราหมณ์นั้นจึงได้สำเร็จพระพุทธญาณเป็นพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าในปัจจุบัน และบุตรทั้งสองก็คือพระโพธิสัตว์อัครสาวกทั้งสองของพระองค์ สาธุชนจึงถวายพระนามแด่ทั้ง ๓ พระองค์นี้ว่า “พระมหาอริยเจ้าทั้ง ๓ แห่งบูรพาทิศ”(東方三聖) พระผู้ทรงสอดส่องดูแลและช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งกลางวันและกลางคืน

อีกในส่วนท้ายของคัมภีร์ไภษัชยคุรุฯสูตรทั้ง ๒ ปกรณ์ข้างต้นยังมี “มหายักษ์เสนาบดีอีก ๑๒ ตน” ที่มีความเลื่อมใสในพระไภษัชยคุรุและทั้ง ๑๒ ตนนี้ต่างก็มีบริวารอีกตนละ ๗,๐๐๐ ตน โดยมหายักษ์เสนาบดีทั้งหมดนี้ได้ประกาศสัจจะต่อเบื้องพระพักตร์แห่งพระพุทธศรีศากยมุนีว่า จะปกปักรักษาพุทธศาสนิกชนที่ตั้งมั่นในศีลธรรม มีความกตัญญูและศรัทธาในพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทั้ง ๗ นี้ ให้ร่มเย็นรอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง พร้อมจะช่วยให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา


อันมหายักษ์เสนาบดีทั้ง ๑๒ ตนนี้เปรียบดั่งจักรราศีหรือนักษัตรทั้ง ๑๒ ของมนุษย์มี ชวด ฉลู ขาล เถาะ เป็นต้น มาตรว่าผู้ที่มีคุณธรรมและศรัทธาต่อพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ ก็จะรอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง ด้วยการอารักขาของมหายักษ์ทั้ง ๑๒ ตน บ้างว่ามหายักษ์ทั้ง ๑๒ ตนนี้เป็นผู้คุ้มครองหรือเทพประจำพระมหาปณิธานทั้ง ๑๒ ประการของพระไภษัชยคุรุ และยังเป็นกุศโลบายอีกว่า มหายักษ์เสนาบดีทั้ง ๑๒ ตน มีบริวารตนละ ๗,๐๐๐ ตน เมื่อนับทั้งหมดแล้วก็จะได้ยักษ์เท่ากับ ๘๔,๐๐๐ ตนพอดี(๑๒ คูณ ๗,๐๐๐) ซึ่งหมายถึงพระธรรมของพระพุทธเจ้า


ดังนั้น สาธุชนจึงนิยมสาธยายจารึก หรือคัดลอกพระนาม พระธารณี พระสูตร หรือวาดภาพ ปั้น หล่อพระปฏิมากรของพระไภษัชยคุรุ(พระองค์เดียวหรือทั้ง ๗ พระองค์)นี้ ประดิษฐานไว้ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อว่าพระพุทธบารมีและอำนาจแห่งมหายักษ์เสนาบดีทั้ง ๑๒ ตน จะมาสถิตอยู่ในสถานที่นั้นๆ ตามอรรถในพระสูตรที่ว่า “หากมีพระนาม พระธารณี พระสูตรหรือพระปฏิมาของพระไภษัชยคุรุสถิตหรือปรากฏอยู่ ณ แห่งใด การเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ โรคาพาธร้ายแรง อาถรรพ์ชั่วร้ายทั้งปวงก็จะสิ้นไปจากแห่งนั้น”

ในคัมภีร์วิมลเกียรตินิทเทสสูตร[3] ปริเฉทที่ ๑๓ ธรรมปฏิบัติวรรคกล่าวว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงประทานพระธรรมเทศนาแก่ท้าวศักรินทร์เทวราช ความว่า “ดูก่อนเทวราช ณ เบื้องอสงไขยกัลป์อันประมาณมิได้ ในสมัยพุทธุปบาทกาลแห่งพระผู้มีพระภาคผู้ทรงพระนาม ไภษัชยราชาตถาคต พระองค์เป็นพระผู้ควรบูชา เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ดีตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง แลยังให้ผู้อื่นรู้ตาม ฯลฯ โลกธาตุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีนามว่า มหาวยูหอลังการ กัลป์นั้นมีชื่อว่า อลังการกัลป์ พระชนมายุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมี ๒๐ จุลกัลป์ ทรงมีพระสาวกสงฆ์ ๓๖ โกฏินหุตะ พระโพธิสัตว์สงฆ์อีก ๑๒ โกฏิ ดูก่อน เทวราชครั้งนั้นมีพระเจ้าจักรพรรดิราชทรงพระนามว่า รัตนฉัตร ทรงสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการฯ มีพระโอรส ๑,๐๐๐ องค์ ล้วนสมบูรณ์ศิริลักษณ์สง่างามแลมีวีรยภาพแกล้วกล้าฯ พร้อมด้วยบริวารได้ถวายสักการบูชาในพระไภษัชยราชาตถาคตเจ้า เป็นระยะเวลา ๕ กัลป์ พระเจ้ารัตนฉัตรจึงมีพระดำรัสให้พระโอรสทั้ง ๑,๐๐๐ องค์ ถวายสักการะต่อไป จากนั้นพระโอรสทั้ง ๑,๐๐๐ องค์จึงทำการบูชาไปอีก ๕ กัลป์ เมื่อสิ้น ๕ กัลป์นั้นแล้วมีพระโอรสองค์หนึ่งพระนามว่า จันทรฉัตร เมื่อประทับอยู่พระองค์เดียว บังเกิดปริวิตกขึ้นว่า ยังจักมีสักการบูชาใดที่ยิ่งกว่าสักการบูชา อันพระราชบิดาแลเราทั้งหลายได้บำเพ็ญอยู่อีกฤๅไม่หนอ?


ครั้งนั้น ด้วยพุทธานุภาพ บันดาลให้มีสุรเสียงตอบจากเบื้องอัมพรสถานว่า ดูก่อนราชบุตร การสักการะบูชาด้วยธรรมปฏิบัติประเสริฐยิ่งกว่าสักการะบูชาใดๆ ราชบุตรจึงถามต่อไปอีกว่า อะไรที่ชื่อว่าเป็นธรรมปฏิบัติเล่า? จากนั้นพระไภษัชยราชาตถาคตจึงทรงประทานพระธรรมเทศนาแก่จันทรฉัตรราชบุตร และเมื่อพระราชบุตรได้สดับฟังธรรมแล้ว ก็ได้บรรลุมุทุตากษานติธรรม และประกาศมหาปณิธานเป็นอันมาก พระไภษัชยราชาตถาคตจึงตรัสพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาลเธอจักได้อภิบาลรักษาสัทธรรมนครเป็นแท้(สำเร็จพุทธญาณ) และทรงกล่าวว่าพระเจ้าจักรพรรดิรัตนฉัตร ได้สำเร็จเป็น พระรัตนโชติประภาพุทธเจ้า พระราชโอรสทั้ง ๑,๐๐๐ พระองค์ ก็คือพระพุทธเจ้า ๑,๐๐๐ พระองค์ในภัทรกัลป์นี้ และพระราชโอรสจันทรฉัตรก็คือพระศากยมุนีพุทธเจ้าในปัจจุบัน
เป็นนัยยะว่าพระไภษัชยราชาตถาคตหรือพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า(แต่บางตำราว่าคนละพระองค์) ทรงตรัสรู้มาก่อนพระศากยมุนีเป็นเวลาแสนนานแล้ว และพระศากยมุนีก็เคยได้ถวายสักการะ ได้รับการสั่งสอนและได้รับพระพุทธพยากรณ์จากพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้ามาก่อนแล้ว

จึงถือเป็นพระพุทธนามอันศักดิ์สิทธิ์และยอดแห่งมงคล ทั้งยังเป็นที่มาหนึ่งเดียวของการสร้างพระกริ่งของไทย ซึ่งมีต้นกำเนิดจากพระสูตรมหายาน สังเกตจากคาถาบูชา“พระกริ่ง”(ภาษาบาลี) เป็นบทเดียวกับธารณีที่ปรากฏในพระสูตรของพระไภษัชยคุรุ(ภาษาสันสกฤต)ทั้ง ๒ ฉบับข้างต้น แต่มาถึงปัจจุบันการจัดสร้างพระกริ่งก็คงไว้แต่ธารณีหรือคาถาบูชาที่ทำให้เราพอทราบได้ว่าเป็นพระไภษัชยคุรุ นอกเหนือจากคุณสมบัติที่นิยมนำพระกริ่งลงแช่น้ำแล้วภาวนาคาถาพระไภษัชยคุรุ เพื่อทำเป็นน้ำพระพุทธมนตร์ในการรักษาโรคภัยและความเป็นสิริมงคล


มีข้อสังเกตว่าพระพุทธบารมีแห่งพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทรงเป็นที่ประจักษ์แจ้งมาแต่โบราณกาลแล้ว ตามหนังสือลัทธิของเพื่อน ของเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ว่า “ในพงศาวดารเขมร กล่าวว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔ ถึง ๑๗๔๔) กษัตริย์กัมพูชาทรงสร้างโรงพยาบาลทั่วไปในอาณาจักร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระไภษัชยคุรุตถาคตเจ้า เพื่อประโยชน์แก่คนเจ็บป่วย ไม่เลือกชั้นวรรณะ โรงพยาบาลเหล่านี้เรียกว่า อโรคยาศาล(มีจำนวนร้อยกว่าแห่งทั่วพระราชอาณาจักร)” และจากศิลาจารึกอโรคยาศาล บันทึกไว้ว่า “โรคที่เบียดเบียนร่างกายของประชาชนนั้น กลับกลายเป็นโรคทางใจ ถึงแม้ว่าทุกข์นั้นจะใช่เป็นของตนเอง แต่ความทุกข์ของราษฎรเปรียบเหมือนทุกข์ของผู้ปกครอง”

โดยที่ผ่านมานั้นมีการกล่าวถึง พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าเพียงพระนามเท่านั้น โดยจะหาพระพุทธประวัติก็แทบไม่มี ครั้นจะกล่าวถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าอีก ๖ พระองค์พร้อมพระพุทธประวัติก็ยากเย็นยิ่งนัก โดยในพระสูตรทั้ง ๒ กล่าวไว้ว่า “การจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เมื่อเกิดมาแล้วได้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยนั้นยิ่งยาก แต่การได้พบ(สดับฟังพระนาม)พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์นี้ยังยากยิ่งกว่า”
พระสูตรทั้ง ๒ นี้เป็นที่แพร่หลายมากในประเทศพุทธมหายาน เช่นจีน ญี่ปุ่น ธิเบต เนปาล ทั้งเป็นเอกสารสำคัญในการกล่าวถึงพุทธประวัติ การปฏิบัติบูชาพร้อมบทธารณีมนตร์ที่ละเอียดสมบูรณ์ที่สุด บางแห่งจะให้สาธุชนได้ลูบคลำพระพุทธปฏิมาของพระไภษัชยคุรุตรงส่วนที่ตนเองเจ็บปวด ด้วยความเชื่อที่ว่าจะหายจากการเจ็บป่วยบริเวณนั้นๆ ได้


แต่ไม่มีนิกายที่นับถือพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าเป็นเจ้านิกายเหมือนพระอมิตาภะโดยเฉพาะ แต่ทรงเป็นที่กราบไหว้บูชาของทุกนิกาย เพราะตามอารามใหญ่ๆจำนวนมากก็มีวิหารพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าแยกไว้ต่างหากด้วย เรียกว่า “วิหารไภษัชยราช” หรือ “วิหารมหาแพทยราชา” และมีคำกล่าวว่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงก็คือ พระไภษัชยคุรุ ที่มีความเมตตากรุณาประทานธรรมโอสถแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง เพราะการจักเข้าถึงพระไภษัชยคุรุก็เพียงโดยการสรรเสริญ ภาวนาในพระนามของพระองค์ด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจเช่นกัน ในพระสูตรระบุว่า “หากสาธุชนหญิงชายใดๆ จดจำพระนามได้ และภาวนาอ่านท่องพระสูตร พระธารณี และพระนามของพระไภษัชยคุรุโดยสม่ำเสมอแล้วไซร้ ผู้นั้นจะปราศจากโรคภัยร้ายแรงทั้งปวง และจะไม่เป็นผู้พิกลพิการ ไม่ยากจนข้นแค้น มิอายุขัยยืนยาว และจะได้ไปอุบัติยังศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตร”

ทั้งนี้ด้วยพุทธานุภาพแห่งพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าที่ทรงเปี่ยมด้วยมหาเมตตา มหากรุณาธิคุณในการปรารถนาให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์ทางกาย เพื่อจักได้มีแรงกำลังมุ่งมั่นบำเพ็ญประโยชน์ต่อตนเองและสังคมอย่างไร้อุปสรรค เพื่อจะส่งผลให้โรคทางจิตวิญญาณหรืออวิชชาโง่หลงได้สิ้นไปด้วย และในพระสูตรยังบรรยายถึงแดนวิสุทธิภูมิของพระองค์ว่า “แดนศุทธิไวฑูรย์ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า มีความอลังการและวิจิตรเหมือนกับดินแดนสุขาวดีของพระอมิตาภะพุทธเจ้าทุกประการ โดยไม่ผิดเพี้ยนแตกต่างกันเลย” ซึ่งในพระสูตรของพระไภษัชยคุรุไม่ได้บรรยายความอลังการไว้โดยละเอียด แต่หากอาศัยข้อความในพระสูตรข้างต้นท่านผู้สนใจก็สามารถอนุมานเข้ากับแดนสุขาวดี ที่มีบรรยายไว้จากพระสูตรทั้ง ๔ ของพระอมิตาภะได้เช่นกัน อันแดนศุทธิไวฑูรย์นี้ ยังมีนัยยะถึงการเริ่มชีวิตใหม่ การรู้แจ้ง ประดุจดวงอาทิตย์ที่รุ่งโรจน์เปล่งแสงยามรุ่งอรุณทางบูรพาทิศ ซึ่งเป็นทิศแรกหรือทิศประธานของการเรียงลำดับทิศทั้ง ๑๐ อนึ่งศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรนี้ ก็มีสีน้ำเงินละม้ายกับสีของโลกที่เราอาศัยอยู่แห่งนี้ด้วย จนมีอรรถกถาบางปกรณ์กล่าวว่า “พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ก็คือพระศากยมุนีพุทธเจ้าแห่งสหาโลกธาตุนี้นั่นเอง”

มีอรรถาธิบายว่ากุศลอันพึงได้จากการถวายสักการะพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้ามี ๑๐ ประการดังนี้
๑. สำเร็จพระพุทธญาณได้อย่างรวดเร็ว
๒. ผู้ที่เห็นผิดจะกลับมาเห็นชอบได้ ผู้ที่ดำรงในเถรวาทจะได้มาดำรงในมหายาน
๓. ย่อมสำเร็จในผลของศีลที่สมบูรณ์ทั้งปวง ผู้ที่ละเมิดศีลจักกลับคืนสู่สภาวะบริสุทธิ์ได้ดังเดิม และไม่ต้องตกสู่อบายภูมิ
๔. มีอายุสิริวัฒนา มั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุข ด้วยลาภยศ สรรเสริญ คู่ครองและบริวารหญิง ชาย
๕. ย่อมถึงพร้อมในข้าวของเครื่องใช้ไม่รู้จักหมดสิ้น ไม่ต้องอัตคัดหรือขัดสนอีกต่อไป
๖. รอดพ้นจากอุทกภัย อัคคีภัย ศาสตราภัย การถูกกรรโชกลักขโมย และการทำร้ายทั้งปวง
๗. สตรีเพศที่รับทุกข์ทรมาน ได้กลับกลายเป็นบุรุษ
๘. สตรีที่คลอดบุตร จะได้บุตรหญิงชายที่เฉลียวฉลาด มีบุญญาธิการและสุขภาพแข็งแรงสมประสงค์
๙. เมื่อคราวายชนม์ จักได้ไปอุบัติยังภพมนุษย์ ภพสวรรค์ แดนสุขาวดีของพระอมิตาภะพุทธเจ้า หรือแดนศุทธิไวฑูรย์ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าได้ดังใจปรารถนา
๑๐. แม้นตกสู่อบายภูมิ หากได้สดับฟังพระนามของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าเพียงชั่วขณะก็จักได้ไปเกิดยังโลกมนุษย์อีกครั้ง เพื่อบำเพ็ญกุศลความดีต่อยังให้บรรลุพระโพธิญาณโดยรวดเร็ว.

คัมภีร์ทศยมราชาขมาสูตร ก็ว่า พระไภษัชยคุรุได้ทรงนิรมาณกายสู่นรกภูมิ เป็นพญายมราชครองนรกขุมที่ ๗ พระนามว่า “ไถ่ซัวเม้งอ้วง” ทรงมีหน้าที่รับเรื่องอุทรณ์ร้องทุกข์ ของวิญญาณคู่กรณีที่มีเวรต่อกัน และทรงตัดสินด้วยความยุติธรรม


ทั้งมีเรื่องราวพระพุทธานุภาพของพระไภษัชยคุรุใน “บันทึกความศักดิ์สิทธิ์ของพระรัตนไตร”(ของจีน) บรรพแรกว่า ในประเทศอินเดีย มีพราหมณ์ที่ร่ำรวยท่านหนึ่งไม่มีบุตร ทั้งภริยาผู้เป็นพราหมณีก็ตั้งครรภ์ได้ยากยิ่งนัก ต่อมาได้มีครรภ์และทะนุถนอมครรภ์นั้นไว้จนครบ ๙ เดือน แล้วจึงให้กำเนิดบุตรชาย ๑ คนที่มีสิริลักษณ์สง่างาม เป็นที่เอ็นดูแก่ผู้คนทั้งหลาย จากนั้นไม่นานมีนักพยากรณ์ผู้วิเศษทำนายว่า บุตรชายคนนี้มีลักษณะอันดีงามมากมาย จักมีอายุขัยเหลือเพียงอีก ๒ ปี เมื่อพราหมณ์และพราหมณีผู้เป็นบุพการีได้ยินแล้ว จิตใจก็เป็นทุกข์ยิ่งนัก ประดุจถูกศรพิษทิ่มแทง แต่โชคดีที่พราหมณ์นั้นมีสหาย ซึ่งออกบวชเป็นสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เมื่อทราบเรื่องแล้วจึงแนะนำว่า ท่านจงจัดสร้างพระปฏิมาของพระไภษัชยคุรุขึ้น ๗ พระรูปตามวิธี เพื่อถวายสักการบูชาเถิด


พราหมณ์จึงได้กระทำตามอรรถาธิบายในพระสูตร จากนั้นมีค่ำคืนหนึ่งได้นิมิตฝันไปว่ามีผู้หนึ่งใส่อาภรณ์ผิดแผกไปจากคนทั่วไปและใส่มงกุฏมาลา ควบอาชาสีเขียวมาหยุดตรงหน้าแล้วกล่าวแก่พราหมณ์นั้นว่า ด้วยท่านได้จัดสร้างพระปฏิมาของพระพุทธเจ้าขึ้น ๗ พระรูป เพื่อถวายสักการบูชาตามวิธี ด้วยอานิสงส์นี้บุตรของท่านจักมีอายุขัยถึง ๕๐ ปี จากนั้นนอกจากบุตรของพราหมณ์จักไม่สิ้นอายุขัยเมื่ออายุ ๒ ปีแล้วยังมีอายุขัยยาวนานถึง ๕๐ ปีพร้อมกับไม่เคยป่วยไข้เลย และยังมีบันทึกเรื่องราวทำนองนี้อีกเป็นจำนวนมาก

วันคล้ายวันพระพุทธสมภพของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าคือ วันที่ ๓๐ เดือน ๙ (ตามจันทรคติจีน) แต่หากเดือนใดมีเพียง ๒๙ วันก็ให้ถือเอาวันที่ ๒๙ แทน.

[1] อาตมาแปลจากภาษาจีนสู่ภาษาไทยและพิมพ์เผยแผ่แล้วในปี ๒๕๔๑
[2] อาตมาแปลจากภาษาจีนสู่ภาษาไทยและพิมพ์เผยแผ่แล้วในปี ๒๕๔๔ และ ปี ๒๕๔๘
[3] อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ..แปลจากภาษาจีน
(ข้อมูลจาก .. พระพุทธเจ้าและพระธรรมสูตรฝ่ายมหายาน พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก 2549)

มนตราเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี




มนตราเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี
นายศิโรฒน์ รัตนาภรณ์ siroat_07@hotmail.com 19 มี.ค.2552
ตีพิมพ์ครั้งแรกในเว็บไซต์ มหาสุขาวดี http://www.mahasukhavati.com/



“ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”


พุทธภาษิตบทนี้เราคงเคยได้ยินกันอยู่บ่อยครั้ง และเป็นพุทธภาษิตที่มีท่านผู้รู้หลายท่านอธิบายขยายความไว้มากมาย โดยเฉพาะวงการพุทธศาสนากับการแพทย์ ซึ่งผู้เขียนจะไม่ขออธิบายขยายความ แต่วันนี้ผู้เขียนจะนำท่านผู้อ่านเข้าไปสู่การภาวนาในวิถีพุทธโดยอาศัยการสวดมนต์เป็นตัวเสริมแรงในการดูแลสุขภาพของเราในชีวิตประจำวัน

พระสูตรมหายาน พระสูตรหนึ่งที่ชื่อว่า “ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรณปณิธานสูตร” ถือเป็นพระสูตรสำคัญที่แฝงไปด้วยคติทางจิตวิญญาณการแพทย์ คือการรักษาโรคทาง จิตใจ เราจะเห็นได้ว่า โรคต่างๆหลายโรค ปฐมเหตุมักเริ่มมาจาก จิตใจ และโรคหลายโรคที่ดูร้ายแรงถ้าผู้ป่วยมีจิตใจที่ดีงาม เขาก็สามารถอยู่ต่อไปในโลกนี้ได้อีกยาวนาน

จิตใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการที่เราต้องดูแลรักษา ให้เป็นจิตใจที่มีคุณภาพ มีความประภัสสร ผ่องใสอยู่เสมอ วิธีการหนึ่งที่จะทำให้จิตใจของเรามีความผ่องใสอยู่เสมอคือการนำใจไปฝากไว้กับแหล่งแห่งความผ่องใสที่สมบูรณ์ แหล่งแห่งความผ่องใสที่สมบูรณ์ คือ อำนาจแห่งพระพุทธคุณ เพราะพระพุทธคุณหรือคุณของพระพุทธเจ้ามีความยิ่งใหญ่อุดมไปด้วยความกรุณา และปัญญาอันบริสุทธิ์ ถ้าเราได้เอาใจของเราไปฝากไว้กับพระพุทธเจ้าก็ทำให้ใจของเราได้ซึมซับเอาคุณลักษณะที่ดีงามของพระองค์มาสู่ใจของเรา

จากจิตใจที่ห่อเหี่ยวด้วยโรคร้ายรุมเร้าก็จะเป็นจิตใจที่ประภัสสรผ่องใส อยู่เสมอ การขอพุทธบารมีในการเยี่ยวยารักษาสุขภาพร่างกายภายนอกจึงเป็นไปได้อย่างง่ายดาย

ในทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต ถือเป็นพระพุทธเจ้าที่ชาวพุทธจะน้อมนำใจไปผูกไว้เป็นพุทธานุสติ พระพุทธเจ้าองค์นี้ ทรงปณิธานในการบำบัดเยี่ยวยารักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วย การที่เราได้ภาวนาพุทธนามหรือธารณีมนต์ประจำพระองค์อยู่เนืองๆจึงถือว่าได้เราได้อาศัยพุทธบารมีมาสร้างเสริมกำลังใจของเราให้เข้มแข็งในการต่อสู้กับสรรพโรคาพาธ

ในปณิธานข้อที่ 7 พระองค์ท่านทรงตั้งไว้เมื่อครั้งบรรพกาลว่า

“เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพชีวิตทั้งปวงเป็นผู้ถูกโรคาพาธเสียดแทง ไร้ผู้อนุเคราะห์ ไร้ผู้ชี้แนะ ปราศจากการรักษา ปราศจากโอสถ ไร้ญาติขาดมิตร ไร้ที่พักพิง มีความอัดคัดยากจน ได้รับทุกข์ทรมานเป็นที่ยิ่ง ผิว่านามแห่งเราจักไปให้สดับยังโสตเพียงครั้ง สรรพโรคาทุกข์ทั้งปวงจะมลายสิ้น กายแลจิตมีความสุขและศานติ ....”

จากปูรวปณิธาน ประการที่ 7 ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เราจะเห็นได้ว่าถ้าหากเรามีจิตใจที่ตั้งมั่น มั่นคงในพุทธคุณจิตใจของเราจะมีกำลังกล้าแกร่งขึ้นและมีความเชื่อมั่นและศรัทธา การเป็นคนไข้ที่มีความเชื่อมั่นศรัทธาหรือความหวังโอกาสที่จะหายขาดจากโรคมีมากกว่าคนที่นั่งหรือนอนจมปลักอยู่กับ ความทุกข์อันเกิดจากกายสังขารรังแต่จะทำให้ใจเศร้าหมองห่อเหี่ยว ไร้กำลังใจอยู่ต่อไปบนโลกนี้

และสิ่งที่พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ให้โอกาสเราในการดูแลสุขภาพกายและใจ คือ พระพุทธมนต์ ซึ่งพระพุทธมนต์ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้ามีดังนี้

“นโม ภควเต ไภษัชยคุรุ ไวฑูรฺยประภา ราชายะ ตถาคตายะ
อรถเต สัมยักฺ สัมพุทธายะ ตัทยถา
โอม ไภษัชเย ไภษัชเย ไภษัชย สมุทคเต สวาหา”

วิธีการท่องสวดพระพุทธมนต์ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าเพื่อการบำบัดเยี่ยวยารักษาโรค ในพระสูตรกล่าวว่า

1.ควรชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เป็นนิจ นำอาหาร โอสถ หรือน้ำที่ปราศจากสิ่งสกปรก เสกด้วยคาถานี้ ๑๐๘ จบ พร้อมกับอาภรณ์และอาหารนั้น บรรดาทุกข์แห่งโรคก็จักดับสิ้นไป

2.หากปรารถนาสิ่งใด แล้วภาวนาสาธยายด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจแล้วไซร้ ย่อมบรรลุได้ตามประสงค์ทุกประการ จักเป็นผู้ไร้โรคาพาธเบียดเบียน อายุสิริวัฒนา

3.เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วในภายหลัง จักไปอุบัติยังศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรแห่งนั้น
มิเสื่อมถอยย้อนกลับตราบจนถึงพระโพธิญาณ

และในแต่ละวันก็ขอให้เรานำใจไปเกาะเกี่ยวกับพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าด้วยการระลึกถึงภาพของท่านให้ติดตาติดใจเป็นพุทธนิมิต ลักษณะของท่านก็แล้วแต่ใจเราชอบ เราอาจจะนึกถึงพุทธลักษณะตามพุทธศิลป์แบบจีน ครองจีวรเปลือยอกเห็นเครื่องหมายสวัสดิกะ อันเป็นมงคลสัญลักษณ์แห่งความสุข ความกระตือรือร้น ความแข็งแรง และความโชคดี พระหัตถ์ขวาถือบาตรน้ำมนต์พระหัตถ์ซ้ายวางบนหัวเข่าในทางดีดน้ำพระพุทธมนต์

หรือจะนึกถึงภาพท่านเป็นศิลปะแนวทิเบตคือพระพุทธรูปที่มีพระวรกายดุจมณีสีฟ้า พระหัตถ์ขวาถือหม้อน้ำพระพุทธมนต์หรือบาตรน้ำมนต์พระหัตถ์ซ้ายวางบนหัวเข่าถือต้นยาสมุนไพร ก็ได้

นึกภาพท่านให้ติดตาติดใจ พร้อมกับภาวนาพระนามของท่านหรือภาวนาพระพุทธมนต์ประจำตัวของท่านไปด้วยอย่าสบายๆเหมือนเราฮำเพลงที่ชอบ ไม่ว่าเราจะทำงานบ้านหรือทำกิจกรรมใดๆก็ลองทำดูเมื่อมีโอกาสอำนวย

ก่อนนอนหรือทุกเช้า-ค่ำ ก็อาจปฏิบัติภาวนาตามวิธีการนี้ด้วยการหลับตาเบาๆสบายๆนึกถึงภาพของท่านให้เป็นอารมณ์เป็นพุทธนุสติ แล้วก็ภาวนาพระนามท่านในใจหรือภาวนาพระพุทธมนต์ประจำตัวท่าน เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิก็ให้ท่านอธิฐานขอพุทธบารมีให้เรามีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ให้สุขภาพแข็งแรง และก็แผ่เมตตาไปยังผู้มีคุณหรือเจ้ากรรมนายเวรก็สุดแล้วแต่ท่านจะแผ่ความรักความปรารถนาดีไปยังใครบ้าง

ถ้าท่านทำได้เช่นนี้กำลังใจของท่านก็จะสูงขึ้น ความเชื่อมั่นในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจะเต็มเปี่ยม ความสงบสุขทางใจจะเพิ่มพูน โรคภัยไข้เจ็บมลายสูญ ชีวิตมีความสุขบริบูรณ์ตลอดไป และที่สำคัญเมื่อใกล้ละสังขารจะมีสติที่สมประกอบ มีสติมั่นคงเดินทางจากโลกนี้ไปอย่างคนที่สงบ เย็น เพราะในใจมีความศรัทธาเชื่อมั่นในความดี

ขอให้ท่านทั้งหลายเมื่ออ่านจบแล้วก็ลองนำไปปฏิบัติถือเป็นการบูชาพระวิสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยการรักษากาย วาจา ใจ ให้ตั้งมั่นอยู่ในทางแห่งความดี และที่สำคัญเมื่อใจเราเกาะเกี่ยวอยู่กับพระพุทธคุณ อวิชชา อันเป็นต้นเหตุของโรคนานาชนิดก็จะถูกถอดถอดไปอย่างแท้จริง

อ้างอิง
พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร แปลโดยพระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก
ประวัติพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า พิมพ์โดยวัตรทรงธรรมกัลยาณี นครปฐม

ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร



藥師琉璃光如來本願功德經
ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร

พระเสวียนจ้างมหาเถระ(ถังซำจั้ง) ตรีปิฎกธราจารย์ชาวจีน ในสมัยราชวงศ์ถัง ประเทศจีน
แปลจากสันสกฤตพากย์สู่จีนพากย์ ปี ๑๑๙๓
พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก (沙門聖傑) แห่งวัดเทพพุทธาราม (仙佛寺) แปลจากจีนพากย์สู่ไทยพากย์
เมื่อพระพุทธายุกาลล่วงแล้ว ๒๕๔๑ ปี



如是我聞:一時薄伽梵,遊化諸國,至廣嚴城,住樂音樹下。與大比丘眾八千人俱,菩薩摩訶薩三萬六千,及國王、大臣,婆羅門、居士,天龍八部,人非人等,無量大眾,恭敬圍繞,而為說法。
ดั่งที่ข้าพเจ้าได้สดับมา สมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระภควันต์ ทรงจาริกไปยังเมืองนครต่างๆ จนถึงมหานครไวศาลี แล้วประทับอยู่ภายใต้ร่มเงาพฤกษา[1] พร้อมด้วยมหาภิกษุ ๘,๐๐๐ รูป พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ๓๖,๐๐๐ องค์ และกษัตริย์ มหาเสวกามาตย์ พราหมณ์ บัณฑิต เทวดา นาค สัตว์ในคติ ๘ มนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง อันเป็นมหาชนที่นับจำนวนมิได้ ต่างห้อมล้อมอยู่ด้วยเคารพ เพื่อสดับการประทานพระธรรมเทศนา
[1] ตามศัพท์ ว่าต้นไม้ชนิดหนึ่งที่เมื่อลมพัด ทำให้ใบกระทบกันมีเสียงไพเราะเหมือนเสียงดนตรี


爾時、曼殊室利法王子,承佛威神,從座而起,偏袒一肩,右膝著地,向薄伽梵,曲躬合掌。白言:「世尊!惟願演說如是相類諸佛名號,及本大願殊勝功德,令諸聞者業障銷除,為欲利樂像法轉時諸有情故」。
ในสมัยนั้น พระมัญชุศรีธรรมราชกุมาร[1]ได้อาศัยพระพุทธานุภาพแล้วลุกขึ้นจากอาสนะ ลดผ้าเฉวียงบ่าลงข้างหนึ่ง[2]และคุกชานุเบื้องขวาลงกับพื้นดิน เฉพาะด้านพระภควันต์ ประณมกรแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ขอพระองค์ประทานพระเทศนาถึงลักษณาการแห่งพระนาม และกุศลแห่งพระมหามูลปณิธานอันวิเศษของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ที่จักยังให้ผู้สดับทั้งปวงมีกรรมวิบากปลาสนาการสิ้นไป เพื่อยังสุขประโยชน์แก่สรรพชีวิต ในสมัยที่พระสัทธรรมเสื่อมถอยด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า

爾時、世尊讚曼殊室利童子言:「善哉!善哉!曼殊室利!汝以大悲,勸請我說諸佛名號,本願功德,為拔業障所纏有情,利益安樂像法轉時諸有情故。汝今諦聽!極善思惟!當為汝說」。
ครั้งนั้น พระโลกนาถเจ้า จึงตรัสสรรเสริญพระมัญชุศรีกุมารภูตะว่า สาธุ สาธุ มัญชุศรี ด้วยเธออาศัยมหากรุณาเป็นเหตุ จึงอาราธนาตถาคตให้แสดงพระนามและกุศลแห่งปณิธานของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เพื่อถอดถอนกรรมวิบากที่ร้อยรัดหมู่สัตว์ ยังประโยชน์ผาสุกแก่หมู่สัตว์ในสมัยที่พระสัทธรรมเสื่อมถอย เธอพึงได้สดับแลกระทำโยนิโสมนสิการโดยดีเถิด ตถาคตจะกล่าวแก่เธอ

曼殊室利言:「唯然,願說!我等樂聞!」
พระมัญชุศรีกราบทูลว่า ขอพระองค์ตรัสเถิด เหล่าข้าพระองค์ยินดีจักได้สดับฟังยิ่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า

佛告曼殊師利:「東方去此,過十殑伽沙等佛土,有世界名淨琉璃,佛號藥師琉璃光如來、應、正等覺,明行圓滿、善逝、世間解、無上士、調御丈夫、天人師、佛、薄伽梵。」
พระพุทธองค์ ตรัสแก่พระมัญชุศรีว่า นับแต่โลกธาตุแห่งนี้ไปเบื้องบูรพาทิศ ผ่านพุทธเกษตรต่างๆไปจำนวนเท่ากับเม็ดทรายแห่งคงคานที ๑๐ สายรวมกัน[3] ยังมีโลกธาตุแห่งหนึ่งนามว่า ศุทธิไวฑูรย์ มีพระพุทธโลกนาถเจ้าพระนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา เป็นผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ผู้ไกลจากกิเลสและควรบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมหาผู้อื่นเสมอมิได้ ผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ตื่นแล้วและเป็นที่พึ่งแห่งโลก

「曼殊室利!彼世尊藥師琉璃光如來本行菩薩道時,發十二大願,令諸有情,所求皆得」。
ดูก่อนมัญชุศรี พระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้น เมื่อคราที่บำเพ็ญมูลจริยาในโพธิสัตวมรรคอยู่นั้น ได้ประกาศพระมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่ไว้ ๑๒ ประการ ดังนี้...

「第一大願:願我來世,得阿耨多羅三藐三菩提時,自身光明熾然照耀無量無數無邊世界,以三十二大丈夫相,八十隨形莊嚴其身;令一切有情如我無異」。
มหาปณิธานประการที่ ๑ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว กายแห่งเราจักรุ่งเรืองโชตนาการสว่างไสว ฉายฉานรัศมีไปยังสรรพโลกธาตุจำนวนประมาณมิได้ นับอสงไขย ไร้ซึ่งขอบเขต พร้อมด้วยทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และอสีตยานุพยัญชนลักษณะ ๘๐ ประการที่เป็นอลังการแห่งกายนั้น จักยังสรรพชีวิตทั้งปวงให้เสมอเหมือนดั่งเรามิแตกต่าง

「第二大願:願我來世得菩提時,身如琉璃,內外明徹,淨無瑕穢;光明廣大,功德巍巍,身善安住,燄網莊嚴過於日月;幽冥眾生,悉蒙開曉,隨意所趣,作諸事業」。
มหาปณิธานประการที่ ๒ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว กายจงประดุจรัตนไวฑูรย์[4] วิมลใสตลอดทั้งภายในและภายนอก บริสุทธิ์ปราศมลทินแปดเปื้อน มีประภาสรัศมีแผ่ไพศาล กุศลบารมีไพบูลย์ยิ่งใหญ่ มีกายเป็นสุขในเปลวอัคคีที่โชติช่วงอลังการ รุ่งเรืองไปกว่าดวงสุริยันแลจันทรา สรรพสัตว์ในนิรยภูมิที่ได้สัมผัสรัศมีนี้ทั้งสิ้น จักได้ไปอุบัติยังสถานที่ต่างๆตามปรารถนา เพื่อกระทำกิจทั้งปวง

「第三大願:願我來世得菩提時,以無量無邊智慧方便,令諸有情皆得無盡所受用物,莫令眾生,有所乏少」。
มหาปณิธานประการที่ ๓ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว ด้วยอุปายโกศลแห่งปัญญาญาณที่ไม่มีประมาณและไร้ขอบเขต จักยังให้บรรดาสรรพชีวิตได้ถึงพร้อมซึ่งเครื่องอุปโภคที่จำเป็นอย่างมิหมดสิ้น จักมิยังให้สรรพสัตว์ต้องขาดแคลน

「第四大願:願我來世得菩提時,若諸有情行邪道者,悉令安住菩提道中;若行聲聞獨覺乘者,皆以大乘而安立之」。
มหาปณิธานประการที่ ๔ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลก และได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพชีวิตทั้งหลายผู้ดำเนินมิจฉามรรคจริยา[5] จักได้ตั้งมั่นในพระโพธิมรรคทั้งหมด หากผู้ดำเนินตามสาวกยาก ปัจเจกยาน ก็จักได้ดำรงมั่นในมหายานทั้งสิ้น

「第五大願:願我來世得菩提時,若有無量無邊有情,於我法中修行梵行,一切皆令得不缺戒、具三聚戒;設有毀犯,聞我名已還得清淨,不墮惡趣!」
มหาปณิธานประการที่ ๕ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากมีสรรพชีวิตที่หาประมาณจำนวนมิได้ และไร้ซึ่งขอบเขต ผู้ดำรงในธรรมแห่งเรา ได้ประพฤติพรหมจรรย์ อันจริยาทั้งปวงนั้นจักมิต้องล่วงละเมิด จักสมบูรณ์ในตรีวิธานิศีล[6]แม้นว่าได้ล่วงละเมิด เมื่อได้สดับนามแห่งเราแล้วจักกลับสู่วิศุทธิภาวะ มิตกสู่อบายภูมิ

「第六大願:願我來世得菩提時,若諸有情,其身下劣,諸根不具,醜陋、頑愚、盲、聾、瘖、啞、攣躄、背僂、白癩、顛狂、種種病苦;聞我名已,一切皆得端正黠慧,諸根完具,無諸疾苦」。
มหาปณิธานประการที่ ๖ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพชีวิตทั้งปวง มีร่างกายต่ำต้อยเลวทราม อินทรีย์ต่างๆ บกพร่อง อัปลักษณ์ โง่เขลา เนตรบอด โสตหนวก โอษฐ์ใบ้ นิ้วมือเท้างอหงิก หลังค่อมโก่งงอ เป็นโรคกุษฐัง[7] สติวิปลาสมิสมประดี อีกทั้งมีโรคาพาธนานารุมเร้าเสียดแทงอยู่ เมื่อได้สดับนามแห่งเราแล้ว สรรพสิ่งทั้งปวงจักบรรลุถึงความสิริลักษณ์งดงาม มากด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด อินทรีย์ทั้งปวงจักสมบูรณ์พร้อม และไร้โรคภัย

「第七大願:願我來世得菩提時,若諸有情眾病逼切,無救無歸,無醫無藥,無親無家,貧窮多苦;我之名號一經其耳,眾病悉除,身心安樂,家屬資具悉皆豐足,乃至證得無上菩提」。
มหาปณิธานประการที่ ๗ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพชีวิตทั้งปวงเป็นผู้ถูกโรคาพาธเสียดแทงอยู่ ไร้ผู้อนุเคราะห์ ไร้ผู้ชี้แนะ ปราศจากการรักษา ปราศจากโอสถ ไร้ญาติมิตร ไร้ที่พักพิง มีความอัตคัตยากจนได้รับทุกข์ทรมานเป็นที่ยิ่ง ผิว่านามแห่งเราจักไปให้สดับยังโสตเพียงครั้ง[8] สรรพโรคาทุกข์ทั้งปวงจะมลายสิ้น กายแลจิตผาสุก ครอบครัวพงษ์ษาจักมั่งคั่งด้วยทรัพย์ศฤงคาร ตราบไปจนได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิ[9]

「第八大願:願我來世得菩提時,若有女人為女百惡之所逼惱,極生厭離,願捨女身;聞我名已,一切皆得轉女成男,具丈夫相,乃至證得無上菩提」。
มหาปณิธานประการที่ ๘ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากมีสตรีได้รับทุกขเวทนาของความเป็นหญิงนับร้อยประการ บังเกิดความเบื่อหน่ายเป็นที่สุด ปรารถนาจักสละทิ้งซึ่งกายแห่งสตรี เมื่อได้สดับนามแห่งเราแล้ว สรรพสิ่งทั้งปวงจักแปรเปลี่ยนจากสตรีสู่บุรุษ สมบูรณ์ในบุรุษลักษณะที่องอาจ ตราบไปจนได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิ

「第九大願:願我來世得菩提時,令諸有情出魔罥網,解脫一切外道纏縛;若墮種種惡見稠林,皆當引攝置於正見,漸令修習諸菩薩行,速證無上正等菩提!」。
มหาปณิธานประการที่ ๙ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว เราจักยังให้บรรดาสรรพชีวิตได้ออกจากมารชาละ[10]หลุดพ้นจากการผูกมัดทั้งปวงของพาหิรมาร หากตกสู่ป่าชัฏแห่งอบายทิฐิ[11] จักชักนำให้ตั้งอยู่บนสัมมาทิฐิ ค่อยๆ บำเพ็ญเพียรโพธิสัตวมรรคทั้งปวง จนได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิอย่างรวดเร็ว


[1] พระนามพระมหาโพธิสัตว์ผู้เลิศในทางปัญญาญาณ และเป็นคุรุ(ปัญญา)แห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง
[2] ผ้าเฉวียงบ่าขวา การนำผ้าลดลงจากบ่าขวา เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุดแบบหนึ่ง
[3] เปรียบเม็ดทราย ๑ เม็ด คือโลกธาตุที่มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ภายใน ๑ แห่ง เม็ดทรายในคงคานที ๑๐ แห่ง จึงหมายความว่าต้องคำนวณเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๑ แห่ง แล้วคูณ ๑๐ จึงจะทราบระยะห่างระหว่างสหาโลกธาตุแห่งนี้ กับศุทธิไวฑูรย์โลกธาตุ
[4] รัตนชาติ ชนิดหนึ่ง มีสีน้ำเงินใส บ้างก็เรียก ไพฑูรย์
[5] หนทางแห่งความชั่ว หนทางแห่งความเสื่อม หนทางที่นำไปสู่อบาย หนทางที่ไม่ถูกต้อง
[6] คือศีล ๓ ประเภท มี ๑)สํวรศีล ศีลคือการสำรวมระวัง ๒)กุศล ธรฺม สํคฺราหก ศีล ศีลที่ประพฤติเพื่อสงเคราะห์แก่กุศลธรรม ๓)สตฺตฺวารฺถ กฺริยา ศีล ศีลที่ประพฤติเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย
[7] โรคเรื้อน
[8] ความหมายคือ หากผู้ที่เป็นทุกข์ได้มีโอกาสสดับพระนามของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เพียงครั้งเดียว ก็จักได้รับอานิสงค์ตามมหาปณิธานประการนี้
[9] ความหมายคือ อานิสงค์แห่งการได้สดับพระพุทธนามนี้ จะส่งผลแก่บุคคลนั้นไปตลอดนานแสนนาน จนกระทั่งบุคคลนั้นได้บรรลุพระโพธิญาณ
[10] มารชาละ คือ ข่ายแหของมาร ที่คอยจับสรรพสัตว์ให้มัวเมา ลุ่มหลงให้ติดอยู่ในห้วงวัฏฏสงสารจนมิอาจหลุดเป็นอิสระได้
[11] ประโยคนี้เปรียบเทียบ อบายทิฐิ คือความเห็นชั่ว หรือมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด ว่าประดุจป่าไม้ที่รกคลึ้ม มากด้วยอันตรายจากสัตว์ร้าย(คือภัยแห่งวัฏฏสงสาร คือโลกธรรม ความโศกเศร้า พลัดพราก ฯลฯ) ไร้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ (คือแสงแห่งปัญญา)สาดส่องมาถึง จึงทำให้มืดมน ยังให้สรรพสัตว์หลงทาง(ลุ่มหลง โง่เขลา) มิอาจหลุดจากป่าไม้(แห่งการเวียนว่ายตายเกิดและอวิชชา)ได้


「第十大願:願我來世得菩提時,若諸有情王法所加,縛錄鞭撻,繫閉牢獄,或當刑戮,及餘無量災難凌辱,悲愁煎逼,身心受苦;若聞我名,以我福德威神力故,皆得解脫一切憂苦!」
มหาปณิธานประการที่ ๑๐ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากบรรดาสรรพชีวิตต้องราชอาญา ถูกตราตรึงพันธนา กักขังจองจำ ฤๅต้องอาญาประหารชีวิต และถูกภยันตรายประการอื่นๆจำนวนประมาณมิได้เบียดเบียน ให้โทมนัสเวทนาอย่างที่สุด กายแลใจได้รับทุกข์ทรมาน หากได้สดับนามแห่งเราแล้วไซร้ ด้วยเหตุแห่งเดชบุญญาธิการของเรา จักยังให้หลุดพ้นจากทุกข์ทรมานทั้งปวง

「第十一大願:願我來世得菩提時,若諸有情饑渴所惱,為求食故造諸惡業;得聞我名,專念受持,我當先以上妙飲食飽足其身,後以法味畢竟安樂而建立之」。
มหาปณิธานประการที่ ๑๑ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากเหล่าสรรพชีวิตทรมานด้วยหิวกระหาย เหตุที่ต้องการอาหารจึงกระทำความชั่วทั้งปวง เมื่อได้สดับนามแห่งเราแล้วน้อมรับปฏิบัติด้วยความตั้งมั่น เราจักยังกายนั้นให้อิ่มเอมในอาหารและเครื่องดื่มอันประณีต[1]ก่อนในคราแรก แล้วจึงยังให้ตั้งอยู่ในธรรมรสอันเป็นบรมสุขในภายหลัง

「第十二大願:願我來世得菩提時,若諸有情貧無衣服,蚊虻寒熱,晝夜逼惱;若聞我名,專念受持,如其所好即得種種上妙衣服,亦得一切寶莊嚴具,華鬘、塗香,鼓樂眾伎,隨心所翫,皆令滿足」。
มหาปณิธานประการที่ ๑๒ เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพชีวิตยากไร้ ปราศจากอาภรณ์ ได้รับทุกข์จากแมลง ยุง และความหนาวร้อนตลอดทิวาราตรี เมื่อได้สดับนามแห่งเรา แล้วน้อมรับปฏิบัติตั้งมั่นด้วยดีแล้วไซร้ ย่อมจักได้รับวัตถาภรณ์แพรพรรณชั้นเลิศนานาประการ รัตนมณีที่อลังการทั้งปวง มาลา เครื่องทาหอม เครื่องดนตรีทั้งมวล จักสำเร็จดั่งมโนจินต์อย่างบริบูรณ์

「曼殊室利!是為彼世尊藥師琉璃光如來、應、正等覺行菩薩道時,所發十二微妙上願」。
ดูก่อนมัญชุศรี พระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต์และพระสัมมาสัมพุทธะพระองค์นั้น เมื่อสมัยที่ทรงบำเพ็ญโพธิสัตวมรรค ได้กระทำสัจจกิริยาประกาศมหาปณิธานอันประเสริฐไว้ ๑๒ ประการ ดั่งนี้

「復次、曼殊室利!彼世尊藥師琉璃光如來行菩薩道時,所發大願,及彼佛土功德莊嚴,我若一劫、若一劫餘,說不能盡。然彼佛土,一向清淨,無有女人,亦無惡趣,及苦音聲;琉璃為地,金繩界道,城、闕、宮、閣,軒、窗、羅網,皆七寶成;亦如西方極樂世界,功德莊嚴,等無差別。於其國中,有二菩薩摩訶薩:一名日光遍照,二名月光遍照。是彼無量無數菩薩眾之上首,次補佛處,悉能持彼世尊藥師琉璃光如來正法寶藏。是故曼殊室利!諸有信心善男子、善女人,應當願生彼佛世界」。
มัญชุศรี อันมหาปณิธานที่พระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้น ได้ทรงประกาศไว้ เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญโพธิสัตวมรรค และคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรที่ีนั้น หากตถาคตจะกล่าวแสดงจนสิ้นกัลป์หนึ่ง หรือจนสิ้นกัลป์อื่นๆก็มิอาจกล่าวได้สิ้นเลย ก็พุทธเกษตรแห่งนั้นวิมลใสหมดจดยิ่งนัก ปราศจากสตรีเพศ[2] ทั้งปราศจากอบายภูมิ และเสียงแห่งความทุกข์ มีรัตนไวฑูรย์เป็นพื้นปฐพี สายทองก็ระย้าอยู่ทั่วโลกธาตุ อันธานี ปราสาท มณเฑียร หอ ราชรถ ช่องบัญชร ชาลมาลาล้วนสำเร็จด้วยสัปตรัตนะ[3]มีคุณาลังการ ประดุจสุขาวดีโลกธาตุ เบื้องประจิมทิศมิต่างกันเลย ก็ในโลกธาตุนั้น มีโพธิสัตว์มหาสัตว์ ๒ องค์คือ สุรยประภา๑ จันทรประภา๑ เป็นผู้นำคณะโพธิสัตว์จำนวนอนันตะและอสงไขย[4] ซึ่งล้วนแต่เป็นเอกชาติปฏิพันธ์โพธิสัตว์[5] ล้วนสามารถธำรงพระสัทธรรมปิฎกอันวิเศษของพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตได้



ด้วยแห่งฉะนี้ มัญชุศรี กุลบุตร กุลธิดาผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย พึงตั้งปณิธานปรารถนาไปอุบัติยังพุทธโลกธาตุแห่งนั้นเถิด

爾時、世尊,復告曼殊室利童子言:「曼殊室利!有諸眾生,不識善惡,惟懷貪吝,不知布施及施果報,愚癡無智,闕於信根,多聚財寶,勤加守護。見乞者來,其心不喜,設不獲已而行施時,如割身肉,深生痛惜。
ครั้งนั้น พระศากยมุนีโลกนาถเจ้า ทรงมีพุทธบรรหารต่อพระมัญชุศรีกุมารภูตะว่า ดูก่อนมัญชุศรี มีเหล่าสรรพสัตว์ที่มิเชื่อถือในสิ่งกุศลและอกุศล ในจิตมีแต่ความละโมบโลภมาก มิรู้จักการบริจาคทานและผลแห่งทาน โมหะลุ่มหลงไร้สติปัญญา มีอินทรีย์คือศรัทธาที่บกพร่อง สั่งสมธนสารสมบัติไว้มากมาย ทั้งปกป้องหวงแหนไว้ เมื่อคราได้ผู้ขอในจิตก็มิยินดี แม้นตนมิยอมรับและบริจาคทานแล้ว ยังดุจว่าตนได้ถูกชำแหละมังสาออกไป มีความตระหนี่ถี่เหนียวยิ่งนัก

復有無量慳貪有情,積集資財,於其自身尚不受用,何況能與父母、妻子、奴婢作使,及來乞者?彼諸有情,從此命終生餓鬼界,或傍生趣。由昔人間曾得暫聞藥師琉璃光如來名故,今在惡趣,暫得憶念彼如來名,即於念時從彼處沒,還生人中;得宿命念,畏惡趣苦,不樂欲樂,好行惠施,讚歎施者,一切所有悉無貪惜,漸次尚能以頭目手足血肉身分施來求者,況餘財物?」
อีกยังมีหมู่สัตว์ที่ละโมบมิสิ้นสุด สั่งสมทรัพย์ศฤงคารไว้มากมาย จนแม้นสำหรับตนเองก็มิอาจนำมาใช้ได้ แล้วจักประสาใดกับการให้บิดามารดา ภริยาบุตร ทาสทาสีแห่งตนและผู้ขออื่นๆอีกเล่า หมู่สัตว์เหล่านั้น เมื่อชีพสังขารแตกดับจากชาตินี้แล้วย่อมไปกำเนิดยังโลกแห่งเปรต ฤๅเดรัจฉานภูมิ เหตุที่เมื่อคราเป็นมนุษย์ หากเคยสดับพระนามพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้าแม้เพียงชั่วขณะ เมื่อขณะที่อยู่ในอบายภูมิ จะระลึกจดจำพระนามของพระตถาคตเจ้านั้นได้อีกครั้ง ก็เมื่อคราที่ระลึกถึงอยู่นั้นแลย่อมจักได้พ้นจากที่แห่งนั้นทันที แล้วหวนมากำเนิดยังมนุษยภูมิ เป็นผู้มีปุพเพนิวาสานุสติญาณ [6]หวั่นเกรงทุกข์แห่งอบายภูมิยิ่งนัก มิยินดีในกามสุข จักเป็นผู้เผื่อแผ่บริจาคทานด้วยความอ่อนน้อม สดุดีโมทนาแก่ผู้บริจาคทานอื่น สรรพสิ่งบรรดามีทั้งปวงจักมิตระหนี่หวงแหน จนค่อยๆ สามารถนำศีรเศียร นัยเนตร หัตถา บาทา โลหิต มังสาในกายตนแบ่งออกเป็นทานแก่ผู้ขอได้ แล้วจักประสาใดกับทรัพย์อื่นอีกเล่า

[1] ตามศัพท์ อันประณีต อาจแปลว่า อันเป็นทิพย์ ก็ได้
[2] ในข้อนี้ มีนัยยะถึงความเสมอภาค มิได้แบ่งแยกว่าเป็นหญิง หรือเป็นชาย มิได้เป็นข้อความเหยียดหยามเพศหญิงประการใด
[3] อัญมณี ๗ ชนิด มี ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก บุษราคัม มรกต ทับทิม
[4] อนันตะ คือประมาณกะเกณฑ์ไม่ได้ อสงไขย คือ สังขยาชนิดหนึ่ง คือจำนวนนับที่แสดงให้รู้ว่ามากมายมหาศาลนับไม่ได้ ,นับไม่ได้ถ้วน
[5] คือ พระมหาโพธิสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิด เพื่อสั่งสมบารมีอีกชาติเดียว ก็จักได้สำเร็จพระพุทธภูมิในทันที เช่น พระเมตไตรยโพธิสัตว์เป็นต้น
[6] ญาณระลึกชาติหนหลังได้ , หนึ่งในอภิญญา ๖ ของพระพุทธศาสนา มี ๑)อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ ๒)ทิพยจักษุ ตาทิพย์ ๓)ทิพยโสต หูทิพย์ ๔)เจโตปริยญาณ ญาณที่กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ ๕) บุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติได้ และ ๖)อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้สิ้นอาสวะ (ข้อ ๖ นี้มีเฉพาะพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา) ห้าข้อแรกเป็นโลกียอภิญญา ข้อท้ายเป็นโลกุตตระ


「復次、曼殊室利!若諸有情,雖於如來受諸學處,而破尸羅;有雖不破尸羅而破軌則;有於尸羅、軌則,雖則不壞,然毀正見;有雖不毀正見而棄多聞,於佛所說契經深義不能解了;有雖多聞而增上慢,由增上慢覆蔽心故,自是非他,嫌謗正法,為魔伴黨。如是愚人,自行邪見,復令無量俱胝有情,墮大險坑。
ดูก่อนมัญชุศรี หากหมู่สัตว์ทั้งหลาย แม้ได้สมาทานสิกขาบททั้งปวงจากพระตถาคตเจ้า แล้วได้ละเมิดศีล ฤๅมิได้ละเมิดศีล แต่ล่วงข้อบัญญัติสำคัญ อันศีลและบัญญัตินั้นแล แม้มิได้ล่วงก็ดี แต่กลับเสื่อมจากสัมมาทิฐิ ฤๅแม้มิได้เสื่อมจากสัมมาทิฐิแต่ยังเป็นผู้ละเลยการสดับ ในบรรดาอรรถะที่ลึกซึ้งของพระพุทธวจนะ พระสูตรคัมภีร์ก็มิอาจเข้าใจ ฤๅหากเป็นผู้พหูสูตคือเป็นผู้สดับมากก็ยิ่งด้วยมานะ[1] ด้วยเหตุที่มานะปิดกั้นจิตไว้ ตนจึงเป็นผู้ทำลายพระสัทธรรมเองหาใช่ผู้อื่นไม่ เพราะมีมารเป็นสหาย[2] อันโมหบุรุษนี้แล เพราะตนเองดำเนินในมิจฉาทิฐิ แล้วยังให้หมู่สัตว์อื่นจำนวนอนันตโกฏิ[3]หาประมาณมิได้ ได้ตกสู่หลุมมหาภัย[4]ด้วย

此諸有情,應於地獄、傍生、鬼趣流轉無窮。若得聞此藥師琉璃光如來名號,便捨惡行,修諸善法,不墮惡趣;設有不能捨諸惡行、修行善法,墮惡趣者,以彼如來本願威力令其現前,暫聞名號,從彼命終還生人趣,得正見精進,善調意樂,便能捨家趣於非家,如來法中,受持學處無有毀犯,正見多聞,解甚深義,離增上慢,不謗正法,不為魔伴,漸次修行諸菩薩行,速得圓滿」。
ก็หมู่สัตว์ทั้งหลายนี้ สมควรเวียนว่ายในห้วงนรก เดรัจฉาน เปรตมิสิ้นสุด หากได้สดับพระนามพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้านี้ จักยังให้ละทิ้งจริยาชั่วนั้นได้ แล้วบำเพ็ญกุศลธรรมทั้งปวง มิต้องตกสู่อบายภูมิ หากมีผู้มิอาจละทิ้งจริยาที่หยาบช้าต่างๆ แล้วมาบำเพ็ญกุศลธรรมได้ ย่อมตกสู่อบายภูมิ แต่ด้วยพลานุภาพแห่งมูลปณิธานของพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น จักมาสำแดงยังเบื้องหน้าผู้นั้น ยังให้ได้สดับพระนามเพียงชั่วครู่ เมื่อสิ้นอายุขัยในภูมินั้นแล้ว จึงกลับมากำเนิดในมนุษยภูมิอีก จักเป็นผู้มีสัมมาทิฐิ วิริยแกล้วกล้า มีจิตใจเกษมศานติอ่อนโยน แม้นสามารถสละเรือนเป็นผู้ไม่ข้องด้วยเรือน[5] ดำรงในธรรมแห่งตถาคต จักสมาทานและดำรงสิกขาบทอย่างมิด่างพร้อย เป็นผู้มีสัมมาทิฐิ พหูสูต รู้แจ้งจำแนกคัมภีรอรรถที่ลึกซึ้ง ห่างไกลจากอติมานะ มิทำลายพระสัทธรรม มิสมาคมมารเป็นสหาย แล้วจึงค่อยประพฤติโพธิสัตวจริยาต่างๆ จนสำเร็จบริบูรณ์ได้อย่างรวดเร็ว

「復次、曼殊室利!若諸有情慳貪、嫉妒,自讚毀他,當墮三惡趣中,無量千歲受諸劇苦!受劇苦已,從彼命終,來生人間,作牛、馬、駝、驢,恆被鞭撻,饑渴逼惱,又常負重隨路而行。或得為人,生居下賤,作人奴婢,受他驅役,恆不自在。若昔人中曾聞世尊藥師琉璃光如來名號,由此善因,今復憶念,至心歸依。以佛神力,眾苦解脫,諸根聰利,智慧多聞,恆求勝法,常遇善友,永斷魔罥,破無明殼,竭煩惱河,解脫一切生老病死憂愁苦惱」。
ดูก่อนมัญชุศรี หากหมู่สัตว์ทั้งหลายผู้มัจฉริยะตระหนี่และโลภมาก อิจฉาและริษยา สรรเสริญตนเองกล่าวร้ายผู้อื่น พึงตกสู่อบายภูมิสาม[6] รับโทษทัณฑ์ทรมานนับหลายพันปีหาประมาณมิได้ เมื่อรับโทษนั้นและสิ้นชีพจากภูมินั้นแล้ว จึงมากำเนิดยังโลกมนุษย์ เป็นโค ม้า อูฐ ลา ถูกโบยตีด้วยแส้เป็นเนืองนิจ ทุกข์ทรมานเพราะหิวกระหาย ต้องบรรทุกสิ่งของหนักตามหนทางอยู่สม่ำเสมอ ผิว่าได้กำเนิดเป็นมนุษย์ จักเกิดในครอบครัวยากจน เป็นทาสทาสี ถูกผู้อื่นหยามเหยียด มิได้รับอิสรภาพ หากในสมัยที่เป็นมนุษย์นั้น ได้เคยสดับพระนามพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตแล้วไซร้ ด้วยกุศลเหตุประการนี้ จักยังให้ระลึกถึงพระองค์ได้อีก แล้วน้อมมาเป็นสรณะด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจ อาศัยพระพุทธานุภาพนั้นแล ยังให้หลุดพ้นจากสรรพทุกข์ทั้งมวล มีพีชะเป็นผู้เฉลียวฉลาด มากด้วยปัญญาญาณและพหูสูต ใฝ่มุ่งวิชยธรรมอันประเสริฐอยู่เป็นนิจ ประสบกัลยาณมิตรอยู่เสมอ ตัดบ่วงแห่งมารให้ขาดสิ้น ทำลายเปลือกแห่งอวิชชา ยังกิเลสสาครให้เหือดแห้ง แล้วหลุดพ้นจากทุกขเวทนา ความโศกาดูรแห่งชาติ ชรา โรคาและมรณะทั้งปวง

「復次、曼殊利室!若諸有情好喜乖離,更相鬥訟,惱亂自他,以身語意,造作增長種種惡業,展轉常為不饒益事,互相謀害。告召山林樹塚等神;殺諸眾生,取其血肉祭祀藥叉、羅剎婆等;書怨人名,作其形像,以惡咒術而咒詛之;厭魅蠱道,咒起屍鬼,令斷彼命,及壞其身。是諸有情,若得聞此藥師琉璃光如來名號,彼諸惡事悉不能害,一切展轉皆起慈心,利益安樂,無損惱意及嫌恨心,各各歡悅,於自所受生於喜足,不相侵凌互為饒益」。
ดูก่อนมัญชุศรี หากหมู่สัตว์นิยมวิวาทะ ต้องพิพากษาในชั้นศาล ยังให้ตนเองและผู้อื่นเป็นทุกข์หาความสงบมิได้ ด้วยเพราะกาย วาจาและใจที่กระทำอกุศลกรรมนานายิ่งขึ้นไม่รู้หยุด ยิ่งกระทำสิ่งมิยังประโยชน์มากขึ้น ทำร้ายแก่กัน เรียกภูติแห่งวนาวาส สิงขร สุสานมาสังหารสรรพสัตว์ต่างๆ ใช้โลหิตและมังสานั้นสังเวยยักษ์ รากษส ขีดเขียนชื่อและทำรูปรอยศัตรู ใช้อาคมชั่วร้ายและไสยเวทย์อาถรรพ์ ใช้คาถาเรียกภูติผีจากซากศพ เพื่อปหารชีวิตฤๅทำลายร่างกายผู้อื่น หมู่สัตว์ทั้งหลายนี้ หากได้สดับพระนามของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้าแล้วไซร้ สิ่งอกุศลที่กระทำทั้งปวงนั้นจักมิอาจบันดาลโทษภัย ต่างจะยิ่งเกิดมีเมตตาจิต ก่อเกิดคุณประโยชน์และผาสุก มิเกิดจิตอาฆาตและพยาบาท ต่างจักยินดีพอใจในสิ่งที่เกิดแต่ตนเองอย่างทั่วพร้อม มิข่มเหงแก่กัน แต่ร่วมกันยังประโยชน์ให้เกิดขึ้น

「復次、曼殊室利!若有四眾:苾芻、苾芻尼、鄔波索迦、鄔波斯迦,及餘淨信善男子、善女人等,有能受持八分齋戒,或經一年、或復三月受持學處,以此善根,願生西方極樂世界無量壽佛所聽聞正法而未定者,若聞世尊藥師琉璃光如來名號,臨命終時,有八大菩薩,其名曰:文殊師利菩薩,觀世音菩薩,得大勢菩薩,無盡意菩薩,寶檀華菩薩,藥王菩薩,藥上菩薩,彌勒菩薩。是八大菩薩乘空而來,示其道路,即於彼界種種雜色眾寶華中,自然化生」。
ดูก่อนมัญชุศรี หากบริษัท ๔ มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และกุลบุตร กุลธิดาต่างๆที่มีศรัทธาจิต สามารถสมาทานแลธำรงไว้ซึ่งอุโบสถศีล[7] เป็นเวลา ๑ ปี ฤๅสมาทานธำรงสิกขาบทอยู่เป็นเพลา ๓ เดือน ด้วยจักอาศัยกุศลมูลนี้ ไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุเบื้องประจิมทิศ แห่งพระอมิตายุสพุทธะ[8] เมื่อได้สดับพระธรรมแล้วยังมิตั้งมั่น หากได้สดับยลยินพระนามพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตแล้วไซร้ เมื่อกาลมรณะมาถึง จักมีมหาโพธิสัตว์ ๘ องค์ นามว่า มัญชุศรีโพธิสัตว์๑ อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์๑ มหาสถามปราปตโพธิสัตว์๑ อักษยมติโพธิสัตว์๑ ทานรัตนศรีโพธิสัตว์๑ ไภษัชยราชโพธิสัตว์๑ ไภษัชยสมุทคตโพธิสัตว์๑ เมตไตรยโพธิสัตว์๑ อันโพธิสัตว์ทั้ง ๘ นี้จะดำเนินมาแต่นภากาศ แล้วนำทางผู้นั้นไปอุบัติยังท่ามกลางรัตนมาลีหลากสีในโลกธาตุแห่งนั้น[9] แล้วกำเนิดโดยอุปปาติกวิธี[10]


[1] คือ ความถือตัว ว่ามีความรู้แล้วเหยียดหยาม วิพากษ์วิจารณ์ ใส่ใคล้ผู้อื่น
[2] ในกรณีนี้หมายถึงมิตรชั่ว ยกยอกันและกันเป็นมานะปิดกั้นตนเอง ให้ร้ายผู้อื่น ฯลฯ เป็นต้น
[3] โกฏิ จำนวนนับ เท่ากับ สิบล้าน
[4] มีความหมายคือ นิรยภูมิ อุปมาเป็นดั่งหลุมบ่อ ที่อันตรายจะปีนขึ้นมาได้ยาก ในประการนี้แสดงให้เห็นว่าผู้เป็นพหูสูตร แต่มากด้วยมานะ ไม่ยอมฟังคำสอนอื่นใด และจะสั่งสอนผู้อื่นให้หลงผิดตาม
[5] ความหมายคือ การออกบวช ไม่ข้องด้วยกามคุณ ตามวิสัยของผู้ครองเรือน
[6] มี นรกภูมิ เปรตภูมิ เดรัจฉานภูมิ
[7] ศีล ๘ ข้อ มี ๑) เว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒)เว้นจากการลักทรัพย์ ๓)เว้นจากการเสพกาม ๔)เว้นจากการพูดเท็จ ๕)เว้นจากการดื่มน้ำเมา ๖)เว้นจากการทัดทรงดอกไม้และลูบไล้ด้วยของหอม ๗)เว้นจากการนั่งนอนในที่นั่งนอนสูงใหญ่ ๘)เว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล
[8] แปลว่าพระพุทธเจ้าผู้มีอายุยืนยาวไม่มีประมาณ พระนามหนึ่งของพระอมิตาภะพุทธเจ้า
[9] มีนัยยะว่าจะได้ไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุ และศุทธิไวฑูรย์ได้ตามปรารถนา เพราะโลกธาตุทั้ง ๒ แห่งนี้มีคุณาลังการเหมือนกันทุกประการ
[10] เกิดแบบผุดขึ้น ได้แก่กำเนิดพรหม เทวดาและสัตว์นรกเป็นต้น ซึ่งเกิดผุดขึ้นแบบทันใด ก็ใหญ่โตเป็นวิญญูชนทันที มิต้องเป็นทารกแล้วเจริญเติบโตอย่างกำเนิดแบบอื่น เมื่อสิ้นอายุขัยก็หายวับไปไม่ทิ้งซากไว้


「或有因此,生於天上,雖生天上,而本善根,亦未窮盡,不復更生諸餘惡趣。天上壽盡,還生人間,或為輪王,統攝四洲,威德自在,安立無量百千有情於十善道;或生剎帝利、婆羅門、居士大家,多饒財寶,倉庫盈溢,形相端嚴,眷屬具足,聰明智慧,勇健威猛,如大力士。若是女人,得聞世尊藥師琉璃光如來名號,至心受持,於後不復更受女身」。
ฤๅด้วยเหตุนี้[1] จักยังให้กำเนิดบนเทวโลก แม้นได้กำเนิดยังเทวโลกก็ตาม กุศลมูลนี้ก็ยังมิสูญสิ้น มิต้องไปกำเนิดยังอบายภูมิอื่นๆ เมื่ออายุขัยบนเทวโลกสิ้นแล้ว จักหวนกลับมากำเนิดยังโลกมนุษย์ บ้างเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ปกครองไปทั่วจตุรทวีป [2]มีอิสรานุภาพไพศาล ยังให้หมู่สัตว์จำนวนอนันตะร้อยพันได้ตั้งอยู่ในทศกุศลมรรค[3] บ้างถือกำเนิดเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ บัณฑิตผู้มากด้วยรัตนสมบัติ จักมีโกศาคารที่เต็มเปี่ยม มีรูปลักษณ์สง่างาม บริวารพงษาบริบูรณ์ มีปัญญาญาณเฉลียวฉลาด วีรภาพหาญกล้า ดุจมหาพลเทพ หากสตรีได้สดับพระนามของพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต แล้วน้อมรับยึดถือด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจแล้วไซร้ ภายหลังจักมิต้องมีกายแห่งสตรีอีก

「復次、曼殊室利!彼藥師琉璃光如來得菩提時,由本願力,觀諸有情,遇眾病苦瘦攣、乾消、黃熱等病;或被厭魅、蠱毒所中;或復短命,或時橫死;欲令是等病苦消除所求願滿」。
ดูก่อนมัญชุศรี เมื่อสมัยที่พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้าพระองค์นั้นทรงบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณแล้ว ด้วยกำลังของมูลปณิธานเมื่อกาลก่อน ยังให้พิจารณาในหมู่สัตว์ทั้งปวง แล้วทรงประจักษ์ในความทุกข์ทรมานต่างๆ จากโรคาพาธมี ความซูบผอมซีดเซียว นิ้วมือเท้างอหงิก ไข้เหลือง[4]บ้างต้องคุณไสยอาถรรพ์ร้าย บ้างมีอายุสั้น บ้างมรณะก่อนเวลาอันควร[5] จึงมีพุทธประสงค์จักยังให้โรคาพาธต่างๆสิ้นไป ยังปณิธานทั้งปวงได้สมมโนรถ

「時彼世尊,入三摩地,名曰除滅一切眾生苦惱。既入定已,於肉髻中出大光明,光中演說,大陀羅尼曰:『
ครั้นแล้ว พระโลกนาถเจ้าพระองค์นั้นจึงทรงเจริญสมาธินามว่า สรวสัตวทุกขภินทนา[6] แลเมื่อเข้าสู่สมาธิแล้ว พระพุทธอุษณีษ์[7]ได้บังเกิดมหารัศมีโอภาสสว่างไสว ในระหว่างรัศมีนั้นแลได้ตรัสมหาธารณีว่า...

那謨薄伽筏帝,裨殺社窶嚕,薛琉璃缽剌婆喝囉闍也,怛陀揭多耶,阿羅訶帝,三藐三勃陀耶。怛姪阤:唵,鞞殺逝,鞞殺逝,鞞殺社,三沒揭帝娑訶』」。
นโม ภควเต ไภษชฺย คุรุ ไวฑูรฺย ปรภา ราชาย ตถาคตาย อรฺหเต สมยกฺ สมพุทฺธาย ตทฺยถา โอม ไภษชฺเย ไภษชฺเย มหา ไภษชฺย ราชา สมุทฺคเต สฺวาหา

爾時、光中說此咒已,大地震動,放大光明,一切眾生病苦皆除,受安隱樂。
เมื่อเพลาที่ตรัสมนตรานี้หว่างรัศมีอันโอภาสแล้ว มหาปฐพีดลก็กัมปนาทสั่นไหว บังเกิดเป็นมหารัศมีรุ่งเรืองไปทั่ว บรรดาโรคาพาธของหมู่สัตว์ทั้งปวงได้สูญสิ้น ได้รับความผาสุกสวัสดีโดยทั่วกัน

「曼殊室利!若見男子、女人有病苦者,應當一心,為彼病人,常清淨澡漱,或食、或藥、或無蟲水、咒一百八遍,與彼服食,所有病苦悉皆消滅。若有所求,志心念誦,皆得如是無病延年;命終之後,生彼世界,得不退轉,乃至菩提。
ดูก่อนมัญชุศรี หากพบชาย หญิงผู้มีทุกข์จากโรค พึงมีจิตแน่วแน่ให้ผู้ป่วยไข้นั้นชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เป็นนิจ นำอาหาร โอสถ หรือน้ำที่ปราศจากสิ่งสกปรก เสกด้วยคาถานี้ ๑๐๘ จบ พร้อมกับอาภรณ์และอาหารนั้น บรรดาทุกข์แห่งโรคก็จักดับสิ้นไป หากปรารถนาสิ่งใด แล้วภาวนาสาธยายด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจแล้วไซร้ ย่อมบรรลุได้ตามประสงค์ทุกประการ จักเป็นผู้ไร้โรคาพาธเบียดเบียน อายุสิริวัฒนา เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วในภายหลัง จักไปอุบัติยังศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรแห่งนั้น มิเสื่อมถอยย้อนกลับตราบจนถึงพระโพธิญาณ

是故曼殊室利!若有男子、女人,於彼藥師琉璃光如來,至心殷重,恭敬供養者,常持此咒,勿令廢忘」。
ด้วยเหตุนี้ มัญชุศรี หากมีชาย หญิงผู้ถวายสักการะและนอบน้อมพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้น ด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจแล้วไซร้ ก็พึงยึดมั่นในธารณีนี้ อย่าให้ลืมเลือนเสียหายเถิด

「復次、曼殊室利!若有淨信男子女人,得聞藥師琉璃光如來應正等覺所有名號,聞已誦持。晨嚼齒木,澡漱清淨,以諸香花,燒香、塗香,作眾伎樂,供養形象。於此經典,若自書,若教人書,一心受持,聽聞其義。於彼法師,應修供養:一切所有資身之具,悉皆施與,勿令乏少。如是便蒙諸佛護念,所求願滿,乃至菩提」。
ดูก่อนมัญชุศรี หากมีกุลบุตร กุลธิดาผู้มีศรัทธาบริสุทธิ์ [8]เมื่อได้สดับพระนามต่างๆ ของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ เมื่อสดับแล้วก็ยึดมั่นภาวนา ยามอรุณรุ่งพึงขบเคี้ยวทนตกาษฐ์[9] ชำระกายาให้สะอาด แล้วนำมวลบุปผชาติมีกลิ่นหอม ร่ำสุคนธ์ (ประพรม)น้ำหอม บรรเลงมวลสังคีต เพื่อสักการะต่อพระพุทธปฏิมา อันพระธรรมสูตรปกรณ์นี้ หากตนเองได้ขีดเขียน หากสอนผู้อื่นให้ขีดเขียน ได้น้อมรับปฏิบัติด้วยเอกจิต เมื่อสดับฟังอรรถะแห่งพระสูตรนี้แล้ว ได้ถวายกัปปิยภัณฑ์อันจำเป็นสำหรับกาย เป็นทานต่อพระธรรมาจารย์ผู้สั่งสอนธรรมนั้นมิให้ขาดแคลนแล้วไซร้ เช่นนี้ จักยังให้พระพุทธเจ้าทั้งปวงตามระลึกดูแล ยังปณิธานทั้งปวงให้สมบูรณ์พร้อม ตราบจนถึงพระโพธิญาณ

爾時、曼殊室利童子白佛言:「世尊!我當誓於像法轉時,以種種方便,令諸淨信善男子、善女人等,得聞世尊藥師琉璃光如來名號,乃至睡中亦以佛名覺悟其耳。
สมัยนั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ขอ ปฏิญานว่าเมื่อกาลที่พระสัทธรรมเสื่อมถอยนั้น ข้าพระองค์จักใช้อุปายโกศลนานาประการ เพื่อยังให้กุลบุตร กุลธิดาผู้มีศรัทธาบริสุทธิ์ ได้สดับยลยินพระนามแห่งพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต แม้นในยามนิทราก็จักรู้สึกว่าได้ยินนามของพระพุทธเจ้าองค์นี้

世尊!若於此經受持讀誦。或復為他演說開示;若自書、若教人書;恭敬尊重,以種種華香、塗香、末香、燒香、花鬘、瓔珞、幡蓋、伎樂,而為供養;以五色綵,作囊盛之;掃灑淨處,敷設高座,而用安處。爾時、四大天王與其眷屬,及餘無量百千天眾,皆詣其所,供養守護。
ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า หากปฏิบัติยึดถือ อ่านท่องสาธยายในพระธรรมสูตรนี้ ฤๅประกาศสั่งสอนแก่บุคคลอื่น หากได้จารึกด้วยตนเอง ฤๅสอนให้ผู้อื่นจารึก มีการเคารพนอบน้อมอย่างที่สุด บูชาด้วยมาลีที่มีกลิ่นหอม น้ำหอม ผงหอม ร่ำสุคนธ์ พวงมาลา สายสร้อยเกยูระ ธวัชฉัตรธง เครื่องดุริยางค์ดนตรีนานาชนิด ใช้ผ้าเบญจรงค์บรรจุพระสูตรนี้ แล้วประดิษฐานไว้ยังที่บริสุทธิ์ บนอาสนะที่ยกสูงแล้วไซร้ ในเพลานั้น จตุเทวราชพร้อมเทวบริษัท และเทวนิกรอื่นจำนวนอนันตะร้อยพัน จักมายังสถานที่แห่งนั้น เพื่อถวายสักการะและอารักขา

世尊!若此經寶流行之處,有能受持,以彼世尊藥師琉璃光如來本願功德,及聞名號,當知是處無復橫死;亦復不為諸惡鬼神奪其精氣,設已奪者,還得如故,身心安樂」。
ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า หากพระสูตรที่มีค่าดุจรัตนะนี้ได้แผ่กำจายไปยังสถานใด แล้วสามารถน้อมปฏิบัติตามความดีงามในมูลปณิธาน และได้สดับพระนามของพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตแล้วไซร้ พึงทราบเถิดว่าสถานแห่งนั้นจะไม่มีการมรณะก่อนเวลาอันควรอีกต่อไป แลจักไม่มีปีศาจร้ายทั้งปวงที่ฉุดคร่าดวงวิญญานนั้นอีก ผู้ที่ถูกฉุดคร่าไปแล้วย่อมหวนกลับคืนมาได้ดังเหตุนี้ กายและใจจึงสุขศานติ

佛告曼殊室利:「如是!如是!如汝所說。曼殊室利!若有淨信善男子、善女人等,欲供養彼世尊藥師琉璃光如來者,應先造立彼佛形像,敷清淨座而安處之。散種種花,燒種種香,以種種幢幡莊嚴其處。七日七夜,受八分齋戒,食清淨食,澡浴香潔,著清淨衣,應生無垢濁心,無怒害心,於一切有情起利益安樂,慈、悲、喜、捨平等之心,鼓樂歌讚,右遶佛像。復應念彼如來本願功德,讀誦此經,思惟其義,演說開示。隨所樂求,一切皆遂:求長壽,得長壽,求富饒,得富饒,求官位得官位,求男女得男女」。
ครั้งนั้น พระพุทธองค์รับสั่งกับพระมัญชุศรีว่า เป็นเช่นนั้นๆ ดังที่เธอได้กล่าว มัญชุศรีหากมีกุลบุตร กุลธิดาผู้มีศรัทธาบริสุทธิ์ ปรารถนาจักถวายสักการะพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้น พึงสร้างรูปปฏิมาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นขึ้นก่อน จัดเตรียมสถานที่บริสุทธิ์เพื่อประดิษฐาน แล้วโปรยบุปผชาตินานาพรรณ ร่ำสุคันธชาตินานาชนิด ประดับสถานอลังการด้วยธงฉัตรนานาประการ เป็นเพลา ๗ ทิวาแลราตรีให้สมาทานอุโบสถศีล บริโภคอาหารบริสุทธิ์[10]ชำระกายให้หอม(เพราะความ)สะอาด สวมใส่อาภรณ์ที่ใหม่และสะอาด พึงเกิดจิตมิเคลือบย้อมแปดเปื้อน[11] จิตมิอาฆาตพยาบาท เกิดจิตที่ยังประโยชน์ต่อหมู่สัตว์ทั้งปวง จิตเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขาเสมอกัน แล้วบรรเลงดนตรีสรรเสริญ เวียนประทักษิณรอบพุทธปฏิมา พึงระลึกถึงความดีงามแห่งมูลปณิธานของพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น แล้วสังวัธยายพระสูตรนี้ โดยตรึกตรองอรรถะแห่งพระสูตร แล้วประกาศสั่งสอน เมื่อปรารถนาสิ่งใด ย่อมสมปรารถนาทุกประการ หากต้องการอายุยืนยาว ย่อมได้อายุยืนยาว ต้องการความมั่งคั่ง ย่อมได้ความมั่งคั่ง ต้องการบรรดาศักดิ์ ย่อมได้บรรดาศักดิ์ ต้องการชายหญิง ย่อมได้ชายหญิงสมตามมโนจินต์


[1] เหตุนี้ คือเหตุแห่งการภาวนาพระนามของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า หากมีศรัทธาหรือมีกุศลปัจจัยไม่เพียงพอให้ไปกำเนิดยังพุทธเกษตร ก็จักไม่ตกอบายภูมิ และไปกำเนิดบนเทวโลกแทน
[2] ทวีปทั้ง ๔ ทางคติพุทธศาสนา มี ๑)ชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ของเขาสุเมรุ ๒)ปูรววิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสุเมรุ ๓)อมรโคยานทวีป อยู่ทางตะวันตกของเขาสุเมรุ ๔)อุตตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือของเขาสุเมรุ หรือคือดินแดนที่แผ่กว้างออกไปจรดแผ่นดิน แผ่นน้ำทั้งสี่ทิศ
[3] ความดี ๑๐ อย่าง แบ่งเป็น ความดีทางกาย ๓ มี ๑)เว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒)เว้นจากการลักทรัพย์ ๓)เว้นจากการผิดในกาม ความดีทางวาจา ๔ มี ๑)เว้นจากการพูดเท็จ ๒)เว้นจากการพูดคำหยาบ ๓)เว้นจากการพูดส่อเสียด ๔)เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อโปรยเสียซึ่งประโยชน์ และความดีทางใจ ๓ มี ๑)เว้นจากการโลภของผู้อื่น ๒)เว้นจากการพยาบาท ๓)เว้นจากการเห็นผิด
[4] โรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อไวรัส มียุงเป็นพาหะ ผู้ป่วยมักมีอาการเวียนและปวดศีรษะ คลื่นเหียน อาเจียน และปวดหลัง ไข้ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ชีพจรเต้นช้าลง ผิวและตาเหลือง อาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตภายใน ๖-๗ วัน
[5] ตามศัพท์คือ อกาลมรณะ คือ ตายโหง, ตายร้าย
[6] คือ สมาธิที่ทำลายความทุกข์ของสรรพสัตว์
[7] หรือ อุณหิสในบาลี หมายถึงกรอบหน้าพระพักตร์, ก้อนพระมังสะหน้าพระเศียร ซึ่งเป็นอาการหนึ่งในอาการ ๓๒ ของพระพุทธเจ้า โดยมากทำเป็นเปลวเพลิง แสดงถึงพระปัญญาอันรุ่งโรจน์ ประติมากรรมฝ่ายมหายาน บางแห่งทำเป็นก้อนพระมังสะงอกขึ้นมาเหนือพระนลาตขึ้นไปเล็กน้อย
[8] คือ ผู้ศรัทธาด้วยปัญญา พิจารณารู้ถึงคุณประโยชน์อย่างมิสงสัยเคลือบแคลง มิเป็นผู้มีศรัทธาไม่บริสุทธิ์ เพราะอวิชชา ลุ่มหลงงมงาย
[9] คือ ไม้ใช้เคี้ยวเพื่อทำความสะอาดฟัน
[10] หมายถึง อาหารที่ไม่มีเลือดเนื้อสรรพสัตว์อื่นเจือปน, อาหารเจ
[11] คือ จิตศรัทธาแท้จริง ไม่เคลือบย้อมด้วยความสงสัย,จิตอกุศล



「若復有人,忽得惡夢,見諸惡相;或怪鳥來集;或於住處百怪出現。此人若以眾妙資具,恭敬供養彼世尊藥師琉璃光如來者,惡夢、惡相諸不吉祥,皆悉隱沒,不能為患。或有水、火、刀、毒、懸險、惡象、師子、虎、狼、熊、羆、毒蛇、惡蠍、蜈蚣、蚰蜒、蚊、虻等佈;若能至心憶念彼佛,恭敬供養,一切怖畏皆得解脫。若他國侵擾,盜賊反亂,憶念恭敬彼如來者,亦皆解脫」。
หากมีผู้นิทราแล้วนิมิตร้าย ได้พบลักษณะชั่วร้ายทั้งปวง บ้างมีวิหคประหลาดมาประชุมรวมกลุ่มกัน บ้างเกิดอาเภทแปลกประหลาดในเคหสถาน บุคคลนี้หากนำบรรดาเครื่องสักการะชั้นเลิศ มาน้อมถวายพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้นแล้วไซร้ สุบินร้ายและทุรลักษณ์อัปมงคลทั้งปวง จักมิปรากฏ มิอาจให้โทษภัย บ้างมีความหวั่นกลัว(ภัยจาก)อุทก อัคคี ศาตราวุธ โอสถพิษ ภัยประหลาด คชสารดุ สิงห์ พยัคฆ์ สุนัขป่า หมี อสรพิษ แมลงป่อง ตะขาบ แมงคาเรือง[1] ยุง แมลงและเหลือบ หากสามารถน้อมระลึกถึง และถวายสักการะต่อพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจแล้วไซร้ ก็จักหลุดพ้นจากสรรพอันตรายได้ หากมีประเทศอื่นมารุกราน กรรโชกแย่งชิง เมื่อได้น้อมระลึกและถวายความเคารพต่อพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้วไซร้ ก็จักหลุดพ้นได้เช่นกัน

「復次、曼殊室利!若有淨信善男子、善女人等,乃至盡形不事餘天,唯當一心,歸佛法僧,受持禁戒:若五戒、十戒,菩薩四百戒、苾芻二百五十戒,苾芻尼五百戒。於所受中或有毀犯,怖墮惡趣,若能專念彼佛名號,恭敬供養者,必定不受三惡趣生。
ดูก่อนมัญชุศรี หากกุลบุตร กุลธิดาผู้มีศรัทธาบริสุทธิ์ ตลอดชีวิตมิได้ข้องเกี่ยวกับเทพเจ้าอื่นใด มีเอกจิตเป็นหนึ่งต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รับสมาทานศีลสังวร อันมีศีล ๕ ศีล ๑๐ โพธิสัตวศีล ๔๐๐ ภิกษุศีล ๒๕๐ [2]ภิกษุณีศีล ๕๐๐ หากได้ละเมิดศีลเหล่านั้น แล้วหวั่นเกรงจักตกสู่อบายภูมิ หากสามารถตั้งจิตระลึกถึงพระนามของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้วถวายความเคารพสักการะแล้วไซร้ ย่อมมิต้องอุบัติยังอบายภูมิทั้ง ๓ อย่างแน่นอน

或有女人,臨當產時,受於極苦;若能志心稱名禮讚,恭敬供養彼如來者,眾苦皆除。所生之子,身分具足,形色端正,見者歡喜,利根聰明,安隱少病,無有非人,奪其精氣」。
ฤๅมีอิสตรีผู้ใกล้คลอด ได้รับทุกขเวทนาเป็นที่สุด หากสามารถสรรเสริญพระนาม ถวายความเคารพแลสักการะพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น ด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจแล้วไซร้ สรรพทุกข์ทั้งปวงจักมลายสิ้น บุตรที่ถือกำเนิดจะมีองคาพยพบริบูรณ์ รูปลักษณ์สง่างาม เป็นที่ยินดีแก่ผู้ได้ประสบ เฉลียวฉลาด เป็นสุขและมีโรคน้อย ปราศจากอมนุษย์ใดมาช่วงชิงดวงวิญญาณไปได้

爾時、世尊告阿難言:「如我稱揚彼世尊藥師琉璃光如來所有功德,此是諸佛甚深行處,難可解了,汝為信不?」
ครั้นนั้น พระโลกนาถเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า ดั่งที่ตถาคตได้พรรณนาถึงพระคุณธรรมบารมีของพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้น อันเป็นจริยาวัตรที่คัมภีรภาพแยบคายของพระพุทธเจ้าทั้งปวงที่เข้าใจได้ยากอยู่เช่นนี้ เธอมีความศรัทธาเชื่อมั่นหรือไม่

阿難白言:「大德世尊!我於如來所說契經不生疑惑,所以者何?一切如來身語意業無不清淨。世尊!此日月輪可令墮落,妙高山王可使傾動,諸佛所言無有異也」。
พระอานนท์เถรเจ้าทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์มิบังเกิดวิจิกิจฉาต่อพระธรรมคัมภีร์ทั้งปวงที่พระตถาคตเจ้าตรัสแสดงแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤๅ เพราะกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมของพระตถาคตทั้งปวงบริสุทธิ์ ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า อันดวงสุริยันและจันทราอาจยังให้ตกลงได้ สุเมรุคิรีราชอาจยังให้พลิกคว่ำ แต่พระวจนะแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวงมิอาจเปลี่ยนแปลง

「世尊!有諸眾生,信根不具,聞說諸佛甚深行處,作是思惟:云何但念藥師琉璃光如來一佛名號,便獲爾所功德勝利?由此不信,還生誹謗。彼於長夜失大利樂,墮諸惡趣,流轉無窮!」
ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า มีบรรดาสรรพสัตว์ที่อินทรีย์คือศรัทธาไม่สมบูรณ์ เมื่อได้สดับจริยาวัตรที่คัมภีรภาพของพระพุทธเจ้าทั้งปวงแล้ว ย่อมจักมีมนสิการเช่นนี้ว่า “เพียงได้ระลึกถึงพระพุทธนามของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าพระองค์เดียว จักได้รับกุศลานิสงค์วิเศษปานฉะนี้เลยหรือกระไร” ด้วยเหตุแห่งการไม่ศรัทธานี้ ยังให้เกิดการว่าร้าย บุคคลนี้ในยามค่ำคืนย่อมพลาดสูญประโยชน์สุขมหาศาล[3] แล้วตกสู่อบายภูมิทั้งปวง เวียนว่ายอยู่มิจบสิ้น

佛告阿難:「是諸有情若聞世尊藥師琉璃光如來名號,至心受持,不生疑惑,墮惡趣者無有是處」。
พระพุทธองค์รับสั่งต่อพระอานนท์ว่า หมู่สัตว์ทั้งหลายหากสดับยลยินพระนามของพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต แล้วน้อมรับปฏิบัติด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจ โดยมิเกิดวิจิกิจฉาเคลือบแคลง แล้วยังตกสู่อบายภูมิอีกย่อมเป็นไปมิได้ในสถานนี้

「阿難!此是諸佛甚深所行,難可信解;汝今能受,當知皆是如來威力。
ดูก่อนอานนท์ นี้คือพระจริยาวัตรที่คัมภีรภาพแยบคายของพระพุทธเจ้าทั้งปวง อันหยั่งใจเชื่อได้ยาก การที่เธอสามารถน้อมรับได้นี้ พึงทราบเถิดว่าล้วนคือพลานุภาพแห่งพระตถาคตเจ้าบันดาลให้เป็นไป

阿難!一切聲聞、獨覺,及未登地諸菩薩等,皆悉不能如實信解,唯除一生所繫菩薩。
อานนท์ บรรดาสาวก ปัจเจกโพธิ และโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้ยังมิบรรลุถึงโพธิสัตวภูมิ ล้วนมิสามารถศรัทธาได้อย่างแท้จริง เว้นแต่เอกชาติปฏิพันธ์โพธิสัตว์เท่านั้น(ที่จักศรัทธาได้อย่างแท้จริง)

阿難!人身難得;於三寶中,信敬尊重,亦難可得聞世尊藥師琉璃光如來名號,復難於是」。
อานนท์ เป็นการยากที่จะมีกายแห่งมนุษย์ และมีศรัทธามั่นในพระรัตนตรัย แต่การได้สดับพระนามแห่งพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า

「阿難!彼藥師琉璃光如來,無量菩薩行,無量善巧方便,無量廣大願;我若一劫,若一劫餘而廣說者,劫可速盡,彼佛行願,善巧方便無有盡也!」
อานนท์ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้น ทรงบำเพ็ญโพธิสัตวจริยาจำนวนประมาณมิได้ ทรงใช้อุปายโกศลที่ชาญฉลาดจำนวนประมาณมิได้(ในการช่วยเหลือสรรพสัตว์) ทรงมีมหาปณิธานที่ไพบูลย์จำนวนประมาณมิได้ หากตถาคตจักกล่าววิภาษาให้กว้างขวางออกไปเป็นเวลา ๑ กัลป์ หรือแม้ในกัลป์อื่นๆ ด้วยแล้วไซร้ กัลป์นั้นแลจะสิ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าพระจริยาปณิธาน และพระอุปายโกศลของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักพรรณนาได้มิรู้หมดสิ้นเลย

爾時、眾中,有一菩薩摩訶薩,名曰救脫,即從座起,偏袒一肩,右膝著地,曲躬合掌而白佛言:「大德世尊!像法轉時,有諸眾生為種種患之所困厄,長病贏瘦,不能飲食,喉脣乾燥,見諸方暗,死相現前,父母、親屬、朋友、知識啼泣圍繞;然彼自身臥在本處,見琰魔使,引其神識至於琰魔法王之前。然諸有情,有俱生神,隨其所作若罪若福,皆具書之,盡持授與琰魔法王。
สมัยครั้งนั้นแล ณ ท่ามกลางมหาชน ยังมีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์พระองค์หนึ่งนามว่า วิมุตติ ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ ลดผ้าลงข้างหนึ่ง คุกชานุเบื้องขวาลงกับพื้นดิน ประณมกร แล้วทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า เมื่อกาลที่พระสัทธรรมเสื่อมถอย จักมีสรรพสัตว์ได้รับทุกข์ทรมานนานัปการ มากด้วยโรคซูบผอมอ่อนแอ มิสามารถดื่มกินอาหารได้ ลำคอแห้งเหือด มองไปทิศใดให้พบแต่ความมืดมิด อันเป็นมรณลักษณะที่มาปรากฏยังเบื้องหน้า บิดามารดา ญาติพงษา มิตรสหาย กัลยาณมิตรต่างร่ำไห้อยู่รอบกาย ในสถานที่กายแห่งตนนอนอยู่นั้นแล จักพบยมฑูตนำพาวิญญาณไปยังเบื้องหน้าพญายมราชผู้ทรงธรรม [4]อันหมู่สัตว์ทั้งปวง ผู้มีวิญญาณเกิดขึ้นแล้ว จักกระทำสิ่งใดมิว่าบาปหรือคุณนั้น ล้วนถูกบันทึกไว้โดยพญายมราชผู้ทรงธรรมทั้งสิ้น

爾時、彼王推問其人,計算所作,隨其罪福而處斷之。時彼病人,親屬、知識,若能為彼歸依世尊藥師琉璃光如來,請諸眾僧,轉讀此經,然七層之燈,懸五色續命神旛,或有是處彼識得還,如在夢中明了自見。或經七日,或二十一日,或三十五日,或四十九日,彼識還時,如從夢覺,皆自憶知善不善業所得果報;由自證見業果報故,乃至命難,亦不造作諸惡之業。是故淨信善男子善女人等,皆應受持藥師琉璃光如來名號,隨力所能,恭敬供養」。
ครั้นแล้ว ยมธรรมราชาจักตรัสถามผู้นั้น แล้วคำนวณผลแห่งบาปและบุญตามที่กระทำมา แล้วจึงตัดสินตามนั้น ในเพลานั้น หากญาติและกัลยาณมิตรของผู้ป่วย สามารถน้อมพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเป็นสรณะแทนผู้ป่วยไข้นั้น โดยอาราธนาหมู่สงฆ์มาสังวัธยายพระสูตรนี้ จุดประทีป ๗ ชั้น แขวนธงต่ออายุขัย ๕ สีแล้วไซร้ วิญญาณผู้นั้นอาจกลับมาอีกก็เป็นได้ ประดุจผู้ที่นิทราฝันไปแล้วได้สติรู้แจ้งด้วยตนเอง อาจผ่านไป ๗ วาร หรือ ๒๑ วาร หรือ ๓๕ วาร หรือ ๔๙ วาร เมื่อคราที่วิญญาณหวนกลับมา ก็ดุจตื่นจากความฝัน ตนเองย่อมเข้าใจในวิบากผลแห่งกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่จักได้รับ ด้วยเหตุที่ตนเองได้ประจักษ์มาแล้ว แม้นมีภัยถึงแก่ชีวาวาตย์ ก็จักมิกระทำอกุศลทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ กุลบุตร กุลธิดาผู้มีศรัทธาบริสุทธิ์ จึงควรน้อมรับยึดมั่นในพระนามของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า แลถวายความเคารพสักการะตามกำลังสามารถเถิด

[1] สัตว์ชนิดหนึ่งมีขา ๑๕ คู่ ตัวยาวประมาณ ๑ นิ้ว
[2] ภิกษุศีลของมหายานมี ๒๕๐ ข้อ จำแนกเป็นปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิตย ๒ นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๐ (เถรวาทมี ๙๒) ปาฏิเทศนีย์ ๔ เสขิยะ ๑๐๐ (เถรวาทมี ๗๕) และอธิกรณ์สมถะ ๗
[3] ประโยคนี้เปรียบได้ว่า สังสารวัฏนี้ คือยามค่ำคืนที่มืดมิด จะมีก็แต่แสงสว่างแห่งดวงจันทร์ คือพระพุทธธรรมที่ส่องแสงนำทาง
[4] ความหมายคือ พญายมราช เป็นผู้มีความเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง ตัดสินชี้ขาดบุญและบาปด้วยความยุติธรรม ในรูปเคารพของมหายานบางแห่งจะถือ กงล้อพระธรรมจักรไว้ในมือ หมายถึงเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธรรม(ความถูกต้อง) เป็นผู้ปกป้องพระศาสนา อีกชื่อว่า ธรรมราชา



爾時、阿難問救脫菩薩曰:「善男子!應云何恭敬供養彼世尊藥師琉璃光如來?續命旛燈復云何造」?
สมัยนั้น พระอานนท์เถรเจ้าได้กล่าวปุจฉาพระวิมุตติโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนกุลบุตร พึงน้อมถวายความเคารพสักการะพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้นด้วยประการเช่นไรหนอ ธงต่ออายุขัยแลดวงประทีปนั้นแลจักประดิษฐ์ขึ้นโดยวิธีใดเล่า

救脫菩薩言:「大德!若有病人,欲脫病苦,當為其人,七日七夜受持八分齋戒。應以飲食及餘資具,隨力所辦,供養苾芻僧。晝夜六時,禮拜行道,供養彼世尊藥師琉璃光如來。讀誦此經四十九遍,然四十九燈;造彼如來形像七軀,一一像前各置七燈,一一燈量大如車輪,乃至四十九日光明不絕。造五色綵旛,長四十九褶手,應放雜類眾生至四十九,可得過度危厄之難,不為諸橫惡鬼所持」。
พระวิมุตติโพธิสัตว์จึ่งกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า หากมีผู้ป่วยไข้ปรารถนาพ้นจากโรคาทุกข์นั้น พึงให้ผู้นั้นสมาทานและรักษาอุโบสถศีลเป็นเวลา ๗ ทิวาราตรี พึงนำเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งอื่นๆ สุดแต่กำลังสามารถ ถวายต่อภิกษุสงฆ์ ทั้งทิวาราตรี ๖ เพลา[1]จงได้กระทำนมัสการเจริญมรรค ถวายสักการะต่อพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้น สังวัธยายอ่านท่องพระธรรมสูตรนี้ ๔๙ จบ จุดประทีป ๔๙ ดวง สร้างรูปปฏิมาของพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้นขึ้น ๗ พระรูป เบื้องหน้าของพระรูปหนึ่งๆ นั้นจงตั้งประทีป ๗ ดวง ประทีปดวงหนึ่งๆนั้นให้มีขนาดใหญ่เท่ากงล้อ (จุดถวาย)เป็นเวลา ๔๙ วันมิให้ดับแสงลง สร้างธงเบญจรงค์ยาว ๔๙ คืบฝ่ามือ และปลดปล่อยสรรพสัตว์ต่างๆตลอด ๔๙ วาร จึงจักผ่านพ้นทุร- วิบัติภัย ยังให้ปีศาจร้ายทั้งปวงมิอาจกระทำการ

「復次、阿難!若剎帝利、灌頂王等,災難起時,所謂:人眾疾疫難,他國侵逼難,自界叛逆難,星宿變怪難,日月薄蝕難,非時風雨難,過時不雨難。彼剎帝利灌頂王等,爾時應於一切有情起慈悲心,赦諸繫閉。依前所說供養之法,供養彼世尊藥師琉璃光如來。
พระคุณเจ้าอานนท์ หากกษัตริย์ ผู้อภิเษกเป็นราชาแห่งแคว้นนั้น เมื่อเพลาที่เกิดภัยพิบัติ อันมี ภัยจากโรคระบาด ภัยจากประเทศอื่นรุกราน ภัยจากคนภายในเป็นกบฏ ภัยจากนักษัตรประหลาดไป ภัยจากสุริยจันทรคลาส ภัยจากลมฝนมิถูกฤดู ภัยจากฝนมิตกต้องตามกาล อันกษัตริย์ผู้อภิเษกเป็นราชานั้น ในกาลนั้นพึงบังเกิดจิตเมตตากรุณาต่อหมู่สัตว์ทั้งปวง อภัยโทษผู้ถูกคุมขัง แล้วดำเนินตามสักการวิธีที่กล่าวแล้วเบื้องต้น เพื่อถวายสักการะต่อพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตพระองค์นั้นเถิด

由此善根及彼如來本願力故,令其國界即得安隱,風雨順時,穀稼成熟,一切有情無病歡樂。
ด้วยเหตุแห่งกุศลมูลนี้ และด้วยกำลังแห่งมูลปณิธานของพระตถาคตเจ้าพระองค์นั้น จักยังให้แว่นแคว้นแห่งนั้นได้บรรลุถึงความผาสุก ลมและฝนต้องตามฤดูกาล พืชพรรณธัญญาหารและการกสิกรรมให้ผลสมบูรณ์ หมู่สัตว์ทั้งปวงจักไร้โรคภัย เกษมโสมนัสถ้วนหน้า

於其國中,無有暴惡藥叉等神惱有情者,一切惡相皆即隱沒;而剎帝利灌頂王等壽命色力,無病自在,皆得增益」。
ในประเทศนั้น จักปราศจากยักษ์ร้ายและเทวดาใจบาปผู้ก่อเวรให้หมู่สัตว์ อกุศลลักษณะทั้งปวงจักมลายหาย อีกกษัตริย์ผู้อภิเษกเป็นราชาแห่งแคว้นนั้น จักจำเริญด้วยอายุ วรรณะ พละ เป็นผู้มีสุขะเพราะไร้โรคา จักได้บรรลุถึงประโยชน์วัฒนายิ่งเช่นนี้แล

「阿難!若帝后、妃主,儲君、王子,大臣、輔相,中宮、綵女,百官、黎庶,為病所苦,及餘厄難;亦應造立五色神旛,然燈續明,放諸生命,散雜色花,燒眾名香;病得除愈,眾難解脫」。
พระคุณเจ้าอานนท์ หากมเหสี สนม รัชทายาท ราชบุตร มหาอำมาตย์ ขุนนาง นางใน ข้าราชการ ราษฏรทั้งปวงที่เป็นทุกข์จากโรคและภัยอื่นๆ ก็พึงสร้างธงเบญจรงค์ จุดดวงประทีปมิให้ดับ ปลดปล่อยสรรพชีวิต โปรยมวลมาลีหลากพรรณ ร่ำสุคันธชาติชั้นเลิศ โรคาพาธจึงถูกกำจัดหมดไป และล่วงพ้นภยันตรายทั้งปวง

爾時,阿難問救脫菩薩言:「善男子!云何已盡之命而可增益」?
ในเพลานั้น พระอานนท์ด้ปุจฉาพระอนุเคราะห์วิมุตติโพธิสัตว์ว่า ดูก่อนกุลบุตร จักกระทำเช่นไรหนอ ให้อายุขัยที่หมดสิ้นแล้วได้ยืนยาวต่อไป

救脫菩薩言:「大德!汝豈不聞如來說有九橫死耶?是故勸造續命旛燈,修諸福德,以修福故,盡其壽命不經苦患」。
พระอนุเคราะห์วิมุตติโพธิสัตว์ว่า พระคุณเจ้า ท่านมิเคยได้สดับพระตถาคตเจ้าตรัสถึงอกาลมรณะ ๙ ประการดอกหรือ ด้วยเหตุนี้จึงบังควรสร้างธงและประทีปแห่งความมีอายุวัฒนา บำเพ็ญกุศลทั้งปวง ด้วยเหตุที่บำเพ็ญกุศล จักยังให้เมื่อวายชนม์มิต้องทุกข์มรมาน

阿難問言:「九橫云何」?
พระอานนท์ว่า อกาลมรณะทั้ง ๙ ประการเป็นเช่นไรหนอ

救脫菩薩言:「若諸有情,得病雖輕,然無醫藥及看病者,設復遇醫,授以非藥,實不應死而便橫死。
พระโพธิสัตว์ว่า หากหมู่สัตว์เป็นโรคแม้น้อยนิด แต่ไร้แพทย์ผู้รักษา ปราศจากโอสถและผู้พยาบาล แม้ได้พบแพทย์ แต่ได้รับโอสถที่ผิด ที่แท้ยังมิพึงสิ้นชีพแต่กลับต้องมรณะก่อนเวลาอันควร

又信世間邪魔、外道妖孽之師妄說禍福,便生恐動,心不自正,卜問覓禍,殺種種眾生,解奏神明,呼諸魍魎,請乞福祐,欲冀延年,終不能得。愚癡迷惑,信邪倒見,遂令橫死入於地獄,無有出期,是名初橫。
อีกประการยังมีผู้เลื่อมใสพาหิรมิจฉามาร[2]ของโลก เมื่อได้ฟังคำลวงหลอกของครูผีเวทย์มนตร์ที่ทำนายโชคดีฤๅร้ายแล้ว จึงยิ่งทวีความหวาดกลัว จิตมิอาจตั้งมั่นเป็นสัมมาอยู่ได้ เมื่อทำนายว่ามีเคราะห์ภัย จึงประหารชีวิตสัตว์อื่นๆ เพื่อสังเวยต่อเทพเจ้า แล้วเรียกเชิญภูติผีปีศาจให้มอบวาสนาคุ้มครอง และความมีอายุยืนยาว ที่สุดแล้วก็มิอาจได้ตามนั้น เพราะความโง่เขลาลุ่มหลง มีมิจฉาศรัทธาและวิปลาสทิฐิ[3]เป็นต้น เมื่อ(บุคคลนี้)ได้มรณะก่อนเวลาอันควรแล้วจักเข้าสู่นรกภูมิ ไร้ซึ่งกำหนดกาลหลุดพ้นออกมา นี้แลชื่อว่า อกาลมรณะประการแรก

二者、橫被王法之所誅戮。三者、畋獵嬉戲,耽淫嗜酒,放逸無度,橫為非人奪其精氣。四者、橫為火焚。五者、橫為水溺。六者、橫為種種惡獸所噉。七者、橫墮山崖。八者、橫為毒藥、厭禱、咒詛、起屍鬼等之所中害。九者、饑渴所困,不得飲食而便橫死。
ประการที่ ๒ มรณะด้วยต้องราชอาญาประหารชีวิต
ประการที่ ๓ ผู้ล่าสัตว์ มัวเมาในกามและสุรา ประมาทมิอาจฉุดช่วยได้ จึงต้องมรณะเพราะอมนุษย์มาฉุดคร่าดวงวิญญาณ
ประการที่ ๔ มรณะด้วยเพลิงเผาผลาญ
ประการที่ ๕ มรณะด้วยจมชลชาติ[4]
ประการที่ ๖ มรณะด้วยสัตว์ร้ายต่างๆ กัดกิน
ประการที่ ๗ มรณะด้วยพลัดตกจากภูผา
ประการที่ ๘ มรณะด้วยต้องโอสถพิษ ยาเบื่อ เวทย์มนตร์และภัยจากการปลุกภูติผี[5]
ประการที่ ๙ ผู้หิวกระหายด้วยเพราะอดอยาก มิได้ดื่มกินอาหารจนมรณะ

是為如來略說橫死,有此九種,其餘復有無量諸橫,難可具說!
นี้คือการมรณะก่อนเวลาอันควร ที่พระตถาคตเจ้าทรงแสดงไว้โดยสังเขป ๙ ประการ ซึ่งยังมีมรณะประเภทต่างๆอีกหาจำนวนมิได้ อันจะกล่าวให้ครบถ้วนได้ยาก

「復次、阿難!彼琰魔王主領世間名籍之記,若諸有情,不孝五逆,破辱三寶,壞君臣法,毀於性戒,琰魔法王隨罪輕重,考而罰之。是故我今勸諸有情,然燈造旛,放生修福,令度苦厄,不遭眾難」。
ข้าแต่พระคุณเจ้าอานนท์ ก็พญายมราชาธิบดีผู้บันทึกรายชื่อของสัตว์โลก หากมีหมู่สัตว์ที่ทุรยศ อกตัญญู ก่ออนันตริยกรรม[6]ให้ร้ายดูหมิ่นพระรัตนตรัย ละเมิดกฎหมายของผู้ปกครอง ทำลายศีลาจาร พญายมผู้เป็นเจ้าแห่งธรรมจักพิจารณากรรมที่หนักเบา แล้วตัดสินโทษทัณฑ์ตามนั้น เหตุนี้เราจึงขอให้หมู่สัตว์ทั้งปวง จุดประทีป ประดิษฐ์ธงทิว ปลดปล่อยชีวิตสัตว์อื่นเพื่อบำเพ็ญกุศล จึงจักล่วงพ้นทุกข์ภัย และมิต้องประสบกับเคราะห์กรรมทั้งปวง

爾時、眾中有十二藥叉大將,俱在會坐,所謂:宮毘羅大將,伐折羅大將,迷企羅大將,安底羅大將,頞你羅大將,珊底羅大將,因達羅大將,波夷羅大將,摩虎羅大將,真達羅大將,招杜羅大將,毘羯魔大將:此十二藥叉大將,一一各有七千藥叉,以為眷屬。
ครั้งนั้น ท่ามกลางมหาชนมีมหายักษ์เสนาบดี ๑๒ ตน ประทับนั่งอยู่ในมหาสมาคมนั้นด้วย อันมี กุมภีระมหาเสนาบดี๑ วัชระมหาเสนาบดี๑ มิหิระมหาเสนาบดี๑ อัณฑิระมหาเสนาบดี๑ อนิละมหาเสนาบดี๑ ศัณฑิละมหาเสนาบดี๑ อินทระมหาเสนาบดี๑ ปัชระมหาเสนาบดี๑ มโหรคะมหาเสนาบดี๑ กินนระมหาเสนาบดี๑ จตุระมหาเสนาบดี๑ วิกราละมหาเสนาบดี๑[7]
ซึ่งมหายักษ์เสนาบดีทั้ง ๑๒ ตนนี้ ล้วนมียักษบริวารตนละ ๗,๐๐๐ ตน[8]

同時舉聲白佛言:「世尊!我等今者蒙佛威力,得聞世尊藥師琉璃光如來名號,不復更有惡趣之怖。我等相率,皆同一心,乃至盡形歸佛法僧,
(มหายักษ์เสนาบดี)ได้กราบทูลสมเด็จพระพุทธองค์พร้อมกันว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า เหล่าข้าพระองค์ทั้งผอง บัดนี้เพราะได้พระพุทธเดชานุภาพปกป้อง ยังให้ได้สดับพระนามแห่งพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต จึงมิต้องหวั่นเกรงอบายภูมิอีกต่อไป ปวงข้าพระองค์ล้วนมีเอกจิตเสมือนกันว่า ตราบนี้ไปจนสิ้นชีพสังขารจักมั่นในพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้าเป็นที่พึ่ง

誓當荷負一切有情,為作義利,饒益安樂。隨於何等村城圍邑,空閑林中,若有流布此經,或復受持藥師琉璃光如來名號恭敬供養者,我等眷屬衛護是人,皆使解脫一切苦難,諸有願求悉令滿足。或有疾厄求度脫者,亦應讀誦此經,以五色縷,結我名字,得如願已,然後解結」。
ขอประกาศปณิธานว่าจักแบกรับหมู่สัตว์ทั้งปวง จักกระทำคุณธรรมความดีอันเป็นประโยชน์และความผาสุกสวัสดี(แก่หมู่สัตว์ทั้งปวง) หากสถานแห่งใด ในสถานคามนิคม ชนบท ราชธานี ในที่โล่งเปล่าฤๅวนาสนฑ์ หากมีพระธรรมสูตรนี้แผ่ไปถึง มีผู้น้อมรับยึดถือพระนามของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้าและน้อมบูชาด้วยความเคารพแล้วไซร้ ข้าพระองค์พร้อมบริวารจักตามอารักขาผู้นั้น ให้รอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง ความปรารถนาต่างๆจักบริบูรณ์พร้อม หากผู้มีโรคภัยต้องการให้ช่วยเหลือแล้วไซร้ พึงสังวัธยายพระสูตรนี้ แล้วนำด้ายเบญจรงค์มาผูกเป็นปมอักษรชื่อพวกข้าพระองค์ เมื่อได้สมปณิธานแล้วจึงค่อยคลายปมนั้นออก

爾時、世尊讚諸藥叉大將言:「善哉!善哉!大藥叉將!汝等念報世尊藥師琉璃光如來恩德者,常應如是利益安樂一切有情」。
ครั้งนั้น สมเด็จพระโลกนาถเจ้าได้ตรัสสรรเสริญ มหายักษ์เสนาบดีทั้งหลายว่า สาธุ สาธุ มหายักษ์เสนาบดี เธอทั้งหลายเป็นผู้รู้สำนึกจักตอบแทน พระมหากรุณาธิคุณแห่งพระโลกนาถเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต จึงสมควรยังหิตประโยชน์ สุขศานติแก่หมู่สัตว์ทั้งหลายโดยเนืองนิจเช่นนี้เถิด[9]


[1] แบ่งเป็นช่วงเวลากลางวัน ๓ ช่วงคือ ๑)ยามตะวันขึ้น ๒)ยามเที่ยงวัน ๓)ยามตะวันตกดิน และกลางคืน ๓ ช่วง คือ ๑)ราตรียามแรก(ฟ้ามืด) ๒)ยามเที่ยงคืน ๓)ยามหลังเที่ยงคืน
[2] หมายถึง กลุ่มบุคคลที่อยู่นอกธรรมดีงามของพระศาสนา หรือเรียก “พาหิร หรือ นอกรีต” ซึ่งกระทำสิ่งที่ปราศจากธรรมอันดีงาม มีความหลงผิด จึงเรียก “มิจฉา” และชักนำให้ผู้อื่นหลงผิดตามไปด้วย จึงเรียกว่า “มาร”
[3] มิจฉาศรัทธา คือ การเชื่อถือในสิ่งผิด ที่ไม่เป็นประโยชน์มีแต่โทษสถานเดียวไม่เป็นเหตุปัจจัยสู่การพ้นทุกข์ วิปลาสทิฐิ คือ ความเห็นที่ผลิกผัน เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชอบเป็นผิด เช่นการลุ่มหลงงมงาย การทำร้ายสัตว์อื่น(บาป) เพื่อตนเองได้รับพร(บุญ) เช่นการฆ่าสัตว์เพื่อบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษ เป็นต้น
[4] คือ น้ำ
[5] ในข้อนี้มีความหมาย ๒ นัยยะ คือ ๑)ผู้ที่ต้องมรณะด้วยการถูกผู้อื่นกระทำ และ ๒)ผู้ที่ปลุกภูติผีเป็นผู้มรณะเสียเอง
[6] กรรมอันร้ายแรงที่สุดของพระพุทธศาสนา ๕ อย่างคือ ๑)ปิตุฆาต ฆ่าพ่อ ๒)มาตุฆาต ฆ่าแม่ ๓)อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๔)สังฆเภท ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ๕)โลหิตุปบาท การทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิตขึ้นไป และยังมีกรรมอีก ๕ ประการที่ร้ายแรงเทียบเท่าอนันตริยกรรม คือ ๑)ประทุษร้ายหญิงที่เป็นพระอรหันต์ ๒)ฆ่าพระโพธิสัตว์ที่ดำรงอยู่ในนิตยภูมิ(คือผู้ไม่เสื่อมถอยจากพระโพธิญาณ) ๓)ฆ่าพระเสขะบุคคล(พระอริยะบุคคลอื่นๆ ที่ยังไม่บรรลุอรหันตผล) ๔)ลักของสงฆ์ ๕)ทำลายพระสถูป
[7] มหายักษ์ ๑๒ ตนนี้ มีคือนักษัตรทั้ง ๑๒ ของมนุษย์โดยมีนัยยะว่า สรรพสัตว์ทั้งปวงล้วนถูกมหายักษ์ทั้ง ๑๒ นี้ หรือคือวัฏฏสงสารที่วนเวียนอยู่ไม่จบสิ้น ประดุจนักษัตรจักราศี ที่กลืนกินอายุขัยให้น้อยลงอยู่ตลอดเวลา หากได้พ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงแล้ว จึงจักพ้นจากการกลืนกินของพญายักษ์เหล่านี้ รูปเคารพของมหายานจะสร้างเป็นรูปพญายักษ์ดุดัน บนศีรษะหรือเท้าจะมีรูปสัตว์ประจำนักษัตรทั้ง ๑๒ ไว้ตนละชนิดเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ทราบ บางแห่งจะสร้างเป็นร่างมนุษย์ ๑๒ คนแต่มีศีรษะเป็นนักษัตรทั้ง ๑๒ แตกต่างกันไป
[8] มหายักษ์เสนาบดีทั้ง ๑๒ มียักษบริวารตนละ ๗,๐๐๐ นั้นหมายถึงพระธรรมของพระพุทธเจ้าที่คอยช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ ประการ(ธรรมขันธ์) เพราะเมื่อนำ ๑๒ คูณ ๗,๐๐๐ จะได้ ๘๗,๐๐๐ พอดี
[9] มีนัยยะคือ ถ้าผู้ใดปฏิบัติบูชาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ก็จักรอดพ้นภยันตรายจากดวงชะตาและจักรราศี เพราะพญายักษ์ให้การปกป้องคุ้มครอง ดังนั้นชาวพุทธมหายาน จึงนิยมภาวนาพระนามและธารณีของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ในพิธีสืบอายุและงานมงคลต่างๆ


爾時、阿難白佛言:「世尊!當何名此法門?我等云何奉持?」佛告阿難:此法門名說藥師琉璃光如來本願功德;亦名說十二神將饒益有情結願神咒;亦名拔除一切業障;應如是持」!
เมื่อนั้น พระอานนท์ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า อันพระธรรมกถานี้จักมีนามว่ากระไร หมู่ข้าพระองค์จักยึดถือเช่นไร พระพุทธเจ้าข้า
มีพระพุทธดำรัสว่า ธรรมกถานี้มีนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร[๑] แลอีกนามคือ ทวาทศมหายักษสัตตวารถกริยาปณิธานศักดามนตร์[๒] แลอีกนามคือ ปหารสรววิปากกรรมสมุทเฉท[๓]พึงยึดถือเช่นนี้

時薄伽梵,說是語已,諸菩薩摩訶薩,及大聲聞,國王、大臣、婆羅門、居士、天龍、藥叉、健達縛、阿素洛、揭路荼、緊捺洛、莫呼洛伽、人、非人等一切大眾,聞佛所說,皆大歡喜,信受奉行。
ก็โดยอภิสมัยครั้งนั้น เมื่อสมเด็จพระภควันต์ตรัสพระพุทธพจน์นี้จบลง บรรดาพระโพธิสัตว์ผู้เป็นมหาสัตว์ และมหาสาวก ราชาธิราช มหาอำมาตย์ พราหมณ์ บัณฑิต เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสุร ครุฑ กินนร มโหราค มนุษย์และอมนุษย์ทุกหมู่เหล่า ที่ได้สดับยลยินพระพุทโธวาทนี้ ล้วนพากันบังเกิดมหาโสมนัสร่าเริงยินดี แล้วมีศรัทธาน้อมรับใส่เกล้ากระหม่อมเพื่อปฏิบัติสืบไป...


[๑] คือ พระสูตรที่ว่าด้วยกุศลแห่งมูลปณิธานของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตเจ้า
[๒] คือ การกล่าวถึงธารณีมนตร์ของมหายักษ์เสนาบดีทั้ง ๑๒ ตนที่ร่วมมีปณิธานจักยังประโยชน์แก่สรรพชีวิต
[๓] คือ การถอดถอนทำลายซึ่งวิบากกรรมทั้งปวง(ชื่อพระสูตรทั้ง ๓ นี้ได้แปลตามอักษรจีน



จบ
พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร

(คัดจาก http://www.mahaparamita.com/)

ปาฐกถาธรรมพิเศษเรื่อง พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า


ปาฐกถาธรรมพิเศษเรื่อง พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า
โดย พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก ณ สมาคมสมาพันธ์ เต็กก่า แห่งประเทศไทย
วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๒

เจริญพร สาธุชนทุกท่าน วันนี้ถือเป็นวันมงคลอย่างยิ่ง เพราะเป็นวันที่คนหลายคนจะมีความสุข เหมือนกับการได้มีชีวิตใหม่ มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงทำให้มีความสุขยิ่งขึ้น เพราะชีวิตความเป็นอยู่มีความปกติสุขยิ่งขึ้น ความทุกข์ทางกายเมื่อลดลง ความทุกข์ทางใจจึงลดลงไปด้วยการเสียสละกำลังกาย กำลังปัญญา กำลังทรัพย์ ในการช่วยเหลือผู้ขาดแขนขาของท่านทั้งหลายในครั้งนี้ สอดคล้องตาม ความตั้งใจ หรือมหาปณิธานของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ออกเสียงอย่างสันสกฤตว่า พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระนามเต็มว่า พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต ญี่ปุ่นเรียก “ยากูชิ” ธิเบตเรียก “ซังเกแมงลา” อังกฤษว่า “เมคดิซีน บุดดา” ท่านที่มีส่วนร่วมทั้งหลายจึงชื่อว่าเป็น “โพธิสัตว์ที่กำลังบำเพ็ญบารมี ผู้เดินตามรอยพระบาทพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า”


หากจะกล่าวถึงพระนามของพระพุทธเจ้าองค์นี้ชาวพุทธฝ่ายเถรวาท อาจจะไม่คุ้น หรือไม่รู้จัก แต่ที่จริงพระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นที่รู้จักกันมาแสนนานใน ชื่อว่า “พระกริ่ง” ที่ในพระหัตถ์ขวา ทรงถือ หม้อยาสมุนไพร หรือบาตร อันมีความหมายคือ การรักษาโรคภัยของสัตว์ทั้งปวง ทั้งโรคภายนอกคือร่างกาย และโรคภายใน คือจิตใจคำว่า “สัตว์ทั้งปวง” รวมไปถึง สัตว์ผู้ยังไม่บรรลุถึงความเป็นพุทธะ ตามคำสอนของมหายานแล้ว สัตว์ทั้งหลายล้วนแต่มีศักยภาพ บรรลุพุทธภูมิสูงสุดได้ ดังนั้นผู้ที่บรรลุมรรคผลภูมิต่างๆ ที่ไม่ใช่พุทธภูมิ และผู้ยังไม่บรรลุมรรคผลใดๆ เลย ก็ได้ชื่อว่า สรรพสัตว์ ทั้งสิ้น

มหายานแบ่ง ภูมิต่างๆ ไว้ ๑๐ ภูมิ เรียกอีกอีกอย่างว่า ธรรมธาตุทั้ง ๑๐ คือ ๑.พุทธะ (ผู้หลุดพ้นด้วยบารมีต่างๆ ที่สั่งสมมาด้วยตนเอง เป็นผู้สอนผู้อื่นให้รู้ตาม หลุดพ้นตาม) ๒.โพธิสัตว์(ผู้มุ่งสู่ความเป็นพุทธะ) ๓.ปัจเจก (ผู้ถึงความหลุดพ้นเฉพาะตน คนเดียว) ๔.สาวก (ผู้หลุดพ้น ด้วยการฟัง) ๕,มนุษย์ (สัตว์ประเสริฐ คือมีโอกาสพัฒนาตนสูงขึ้นไปถึงพุทธะได้ และสามารถตกต่ำถึงเดรัจฉาน หรือนรกได้) ๖.เทวดา (ผู้เสวยสุขที่ประณีต เปรียบเหมือนคนร่ำรวย มียศศักดิ์ในโลก) ๗.อสุร(ผู้มักโกรธ) ๘.นรก(ผู้มีกรรมชั่วหนัก และไกลจากกรรมดี) ๙.เปรต(ผู้มักโลภ) ๑๐,เดรัจฉาน(ผู้มักหลง ไม่มีปัญญา)


ดังที่เราจะได้กล่าว ถึงปณิธานข้อสำคัญข้อหนึ่ง ที่ว่า พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าจะสั่งสอนให้สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นสาวกยาน ปัจเจกยาน และสัตว์ทั้งปวง ได้หันมาบำเพ็ญจริยาเป็นโพธิสัตว์ ได้สำเร็จผลสูงสุดตามที่ศักยภาพของตนมี คือการสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
พระสูตรฝ่ายมหายานที่กล่าวถึง พุทธประวัติ พระปณิธาน และอานิสงค์ในการปฏิบัติบูชาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั้น คือ ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร หรือ藥師琉璃光如來本願功德經”

ในที่นี้ จะกล่าวถึง มหาปณิธานที่ยิ่งใหญ่ ๑๒ ข้อ ที่เป็นหัวใจของพระสูตรนี้ และเป็นสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัย จะทำให้สรรพสัตว์ เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วถึงจุดนี้ ขออธิบายถึง การโปรดสัตว์ของมหายานอีก ๓ ประการ คือ ๑. พระพุทธเจ้าที่ตั้งพระทัยว่า เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว จึงจะยังให้ความตั้งใจ หรือปณิธานต่างๆ ที่เคยอธิษฐานไว้ให้สำเร็จ เรียกว่า การโปรดสัตว์แบบพระราชา การโปรดสัตว์แบบนี้จะให้ผลแก่หมู่สัตว์มาก มีอานิสงค์มาก มีกำลังมาก เหมือนการช่วยเหลือของพระราชา แต่การเข้าถึงพระราชา นั้นก็ไม่ง่ายเช่นกัน ,พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระอมิตาภะพุทธเจ้า ก็อยู่ในประเภทนี้

๒. การตั้งใจว่า จะหลุดพ้นไปพร้อมๆ กับสรรพสัตว์ เรียกว่า เป็นกัลยาณมิตร ของหมู่สัตว์ เรียกว่า การโปรดสัตว์แบบนายเรือ คือ ถึงฝั่งพร้อมกัน๓. การตั้งใจว่า ให้หมู่สัตว์ข้ามฝั่งไปจนหมดก่อน แล้วจึงตามไปเป็นคนสุดท้าย เรียกว่า การโปรดสัตว์แบบคนเลี้ยงแกะ คือให้แกะตัวสุดท้ายข้ามฝั่งไปก่อน แล้วตนจึงเดินปิดท้ายไป พระกษิติครรภ์ อยู่ในประเภทนี้ คือ ท่านมีปณิธานว่า ตราบใดที่ยังมีสัตว์หลงเหลือในนรกแม้นเพียงหนึ่งเดียว ก็จะไม่ขอเข้าสู่พุทธภูมิ

ไภษัชยคุรุสูตรนี้ กล่าวว่า พระบรมศาสดาศากยมุนี ทรงแสดงธรรมนี้ที่เมือง ไวสาลี ประเทศอินเดีย โดยในสมัยนั้น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นโพธิสัตว์แห่งปัญญา และเป็นประธานหมู่โพธิสัตว์ทั้งปวง ได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์ว่า ในอนาคต หากสัตว์โลก เป็นทุกข์เพราะมีโรค มีอันตราย ต่างๆ เบียดเบียน ให้อายุขัยสั้น เป็นทุกข์เพราะร่างกาย และจิตใจ จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดหรือไม่ ที่หากได้สักการะแล้ว จะมีอานิสงค์มาก ดับทุกข์ภัยเหล่านั้นได้

พระพุทธองค์มีพระกรุณาตรัสตอบว่า ในทิศตะวันออกของโลกที่เราอยู่นี้ ห่างออกไปเท่ากับเม็ดทรายของแม่น้ำคงคา ๑๐ สายรวมกัน มีอีกโลกหนึ่ง ชื่อ ศุทธิไวฑูรย์ และมีพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง พระนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ คือ สมบูรณ์ทั้งคุณธรรมภายนอกภายใน เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งปวง ขณะนี้ก็ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ มีพระโพธิสัตว์ พระสาวก จำนวนมากมายมหาศาล เกินการนับคำนวณ ห้อมล้อมอยู่ คือ เปรียบเทียบเม็ดทราย ๑ เม็ด คือ โลกธาตุ ๑ แห่ง และมีพระพุทธเจ้าประทับ ๑ องค์ เราต้องนับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ๑ สาย แล้ว คูณ ๑๐ จึงจะทราบถึงจำนวนโลกของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ที่ห่างจากโลกของเรา

จึงทราบได้ว่า พระองค์ทรงอยู่ห่างไกลจากโลกแห่งนี้เหลือเกิน ดังนั้น การได้ยินพระนาม การได้รับรู้ถึงพระจริยาวัตร พระมหาปณิธาน หรือความตั้งพระทัยที่ยิ่งใหญ่ ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ของพวกเราในครั้งนี้ จึงนับเป็นกุศลมหาศาล ในพระสูตรยังกล่าวอีกว่า เรื่องราวของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านี้ บรรดาพระปัจเจกพุทธะ พระสาวก และพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมียังไม่เกือบเทียบเท่า พระพุทธเจ้า ก็มิอาจจะกล่าวแสดง หรือล่วงรู้ถึงพระปณิธาน และอานิสงค์ต่างๆ ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าได้

พวกเราทั้งหลาย เพราะได้พระกรุณาของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ตรัสแสดงเรื่องราวของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าเมื่อครั้งพุทธกาล ทำให้บัดนี้เรามีโอกาสได้รู้จัก และมีโอกาสได้ยินพระนาม จึงถือเป็นการปลูกฝังกุศลมูลที่ยิ่งใหญ่และหาได้ยากในครั้งนี้คติ เรื่อง พุทธเกษตรนี้ ชาวไทยหรือชาวเถรวาทอาจไม่คุ้นเคย อันดับแรก เราต้องทำความเข้าใจว่า ภายนอกโลกแห่งนี้ ยังมีสุริยจักรวาล นอกระบบสุริยจักรวาล ยังมีจักรภพ หรืออวกาศ อันไม่มีที่สิ้นสุด และภายในอวกาศนั้นยังมี อีกหลายๆ ระบบสุริยจักรวาล ซึ่งแต่ละระบบสุริยะนั้น มีดวงอาทิตย์เป็นแกนกลาง ๑ ดวง และมีดาวเคราะห์เป็นบริวารมากบ้างน้อยบ้าง เหมือนระบบสุริยะที่เราอาศัยอยู่นี้ ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่

และในจุลนิกสูตร ของฝ่ายเถรวาท พระศากยมุนีพุทธเจ้า ก็ตรัสกับพระอานนท์ ว่า ระบบการเรียกโลกต่างๆ ในจักรวาลแบบหนึ่งว่า สหัสโลกธาตุ คือ ระบบที่มีโลกธาตุหนึ่งพันแห่ง เขาสุเมรุหนึ่งพันลูก ทวีปสี่พันทวีป และตรัสถึงระบบโลกธาตุแบบใหญ่ที่สุด คือ ตรีสหัสมหาสหัสโลกธาตุ ซึ่งในโลกธาตุเหล่านั้น ล้วนแต่มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ทั้งสิ้นอีกประการหนึ่ง บางครั้งเราอาจไม่จำเป็นต้องเอามโนทัศน์ของตนเอง มาทำความเข้าใจเรื่องพุทธเกษตรที่อยู่นอกเหนือกาลเวลาและสถานที่ และที่สำคัญพุทธเกษตรอื่นๆ นั้น อาจมีอยู่จริง มากกว่าโลกที่เราอยู่แห่งนี้ก็ได้ ในด้านตรงข้าม หากพุทธเกษตรอื่นๆ ไม่มีจริง ก็ไม่ผิด เพราะความมีอยู่จริงของโลกนี้ก็ไม่มีอยู่จริงเช่นกัน


เพราะโลกที่เราเห็น ที่เราอาศัย ล้วนเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยของธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ และอื่นๆ ประกอบกัน แล้วเราก็ดำเนินไปด้วยอวิชชา มองเห็นและเข้าใจไปว่า เป็นตัวตน แล้วไปยึดมั่นถือมั่น เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา จึงเกิดเป็นสังสารวัฏไม่จบสิ้น ข้อนี้เราจึงกล่าวได้ว่า โลกนี้ไม่ใช่ไม่มีอยู่ แต่มีอยู่ด้วยความไม่มีอยู่จริง หรืออยู่ด้วยความไม่จริง ต่างหาก


ซึ่งเราไม่อาจปฏิเสธ ว่าโลกนี้และสิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีอยู่จริง แต่ทว่าความมีอยู่จริงของโลกนี้เป็นความจริงแบบสมมุติเท่านั้น เช่น การเรียกโต๊ะ เก้าอี้ ความเป็นหญิงชาย ตรงกันข้าม ความจริงแบบปรมัตถ์ ทุกสิ่งในโลกและโลกแห่งนี้ รวมถึงโลกอื่นๆ ก็ล้วนไม่มีอยู่จริง เพราะ การเรียกโต๊ะ เก้าอี้ ความเป็นหญิงชายนั้น เป็นการสมมุติชื่อ สมมุติบทบาทขึ้นทั้งสิ้น ในวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ยังกล่าวว่า แม้คำว่า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ โพธิสัตว์ พุทธะ ก็ล้วนเป็นสมมุติบัญญัติทั้งสิ้น มิใช่สุญญตาภาวะอย่างแท้จริง

คำว่า ไม่มีอยู่จริงนี้ ไม่ใช่การปฏิเสธการมีอยู่ของด้านสมมุติ แต่การไม่มีอยู่ของปรมัตถ์นั้น คือ การมีก็ไม่ใช่ การไม่มีก็ไม่เชิง เพราะพ้นจากคำบัญญัติว่า มี หรือไม่มี ดังนั้น พุทธเกษตร โลกธาตุทั้งปวง จึงเป็นสภาวะตถตา คือเป็นไปอยู่เช่นนั้นเอง ไม่เพิ่มขึ้น หรือไม่ลดลง จึงไม่สะอาดและไม่สกปรก ไม่เกิดและไม่ดับด้วยเหตุผลเช่นนี้ ผู้ที่มีทิฐิยึดมั่นถือมั่นอยู่ จึงไม่อาจมองเห็นพุทธเกษตรอื่นๆ ได้

พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ทรงมีความตั้งพระทัยที่ยิ่งใหญ่ ๑๒ ประการ ในขณะที่ยังบำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ว่าเมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จะช่วยเหลือสรรพสัตว์เช่นนี้

มหาปณิธานประการที่๑ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้วกายแห่งเราจักมีรัศมีสว่างไปในโลกธาตุทั้งปวงไม่มีขอบเขต มีทวัตติงสะมหาบุรุษลักษณะ๓๒ประการ อสีตยานุพยัญชนลักษณะ๘๐ประการ เป็นอลังการแห่งกายยังให้สรรพสัตว์ทั้งปวงเสมอเหมือนเราโดยมิแตกต่าง

ความหมายคือ พระองค์มีพุทธประสงค์ จะช่วยให้สัตว์โลกเหมือนพระองค์ คือ มีลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ นั่นหมายถึง ให้สัตว์ทั้งหลายได้บรรลุพุทธภูมิ, ส่องแสงสว่างไป ไม่มีประมาณในโลกธาตุทั้งปวง เป็นการแสดงว่า เราทั้งหลายสามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ ด้วยความพากเพียร ปณิธาน โพธิจิต และอำนาจของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า การทำสมาธิน้อมจิตถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า แบบสำนักวัชรยานนั้น จะต้องสร้างบริกรรมนิมิตว่า ตนเองเป็นพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า มีลักษณะมหาบุรุษ มีรัศมีสว่างไสวออกมาจากกายของตน แล้วแผ่ไปยังสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากทั้งปวง เพื่อปลดเปลื้องทุกข์ต่างๆ แม้แต่แพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาล ก็ยังมีการสร้างนิมิตว่า ตนเองเป็นพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า รักษาโรคให้ผู้ป่วยด้วยความกรุณา อย่างไม่มีประมาณ

ข้อนี้ คือการเจริญโพธิจิต มีความปรารถนาดีให้สัตว์ทั้งหลาย ได้พ้นทุกข์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แสดงถึงความเสมอภาค ระหว่างพระพุทธะและสรรพสัตว์

มหาปณิธานประการที่๒ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว กายของเราจักดุจรัตนไวฑูรย์วิมลใสทั้งภายในและภายนอก มีรัศมีสว่างไสวมหาศาลเปล่งฉายไปในทิศทั้งปวง อลังการด้วยเปลวอัคคีรุ่งเรืองกว่าสุริยันจันทรา นิรยภูมิที่อยู่ภายในโลหบรรพตจะได้เห็นเหตุการณ์นี้ อีกในโลกธาตุแห่งนี้ผู้ดําเนินเที่ยวไปในความมืดมนอันธการ สรรพสัตว์เหล่านั้นเมื่อได้ยลประภาสแห่งเรา ความโง่เขลาที่ปิดบังอยู่จักถูกเปิดออก แล้วกระทําสิ่งทั้งปวงได้ตามประสงค์

ทรงมีกายที่สว่างใส และสะอาดทั้งภายในภายนอก มีรัศมีไม่มีประมาณ การมีคุณธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ทคือการกระทำที่แสดงออกมา เรียกว่า จรณะ และมีคุณธรรมที่ประเสริฐอยู่ภายใน เรียกว่าวิชชา คือความรู้ พระปัญญา พระอุปายะ พระบารมีต่างๆ ที่แผ่ไปทั่วยังความสว่างให้เกิดขึ้นได้ยิ่งกว่า แสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หมายถึงแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์นั้น หากมีเมฆ หรือ วัตถุทึบแสงใดๆ บดบัด แสงไว้ แสงก็ไม่อาจส่องผ่านได้ แต่พระรัศมีของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ส่องผ่านได้ถึงแดนนรกที่มืดมิด เปรียบเหมือนมนุษย์ที่มีความเห็นผิด โง่เขลา ผู้มีบาปหนัก หากได้เห็นพระรัศมีนี้ หรือ ได้ยินพระนามแล้ว ความโง่เขลาจะถูกเปิดออก เหมือนแสงอาทิตย์กำจัดความมืดมน เพื่อให้มีโอกาสทำสิ่งที่ดีงามทั้งปวง และท่านจะช่วยเหลือหมู่สัตว์ตลอดกลางวันและกลางคืน

ข้อนี้ เป็นการเปิดทัศนคติที่ถูกต้อง ว่าสัตว์โลกล้วนแต่สามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะความเข้าใจผิดที่ได้ฟังคำสอน หรือคำกล่าวที่ว่า การบำเพ็ญเพื่อสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้นยาก เป็นไปได้ยาก หรือได้ฟังคำกล่าวให้เสื่อมถอยกำลังใจจากพุทธภูมิ จึงทำให้พลาดจากความเป็นพระพุทธเจ้า แล้วเหตุใดถึงจะต้องเป็นพระพุทธเจ้า ในเมื่อสภาวะของการหลุดพ้นไม่ต่างกัน
ตอบว่า แม้สภาวะของวิมุตติ หรือการหลุดพ้นไม่ต่างกัน แต่วิสัย หรือความสามารถต่างกัน พระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญูคือ รู้แจ้งสรรพสิ่ง สั่งสอนธรรมแก่พระอรหันต์ และหมู่สัตว์ได้ไม่มีประมาณ ดังนั้น การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจึงสามารถยังประโยชน์แก่หมู่สัตว์ได้มากกว่าการสำเร็จมรรคผลขั้นอื่นๆ

บรรดาโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้บางชาติจะเกิดเป็นเดรัจฉานก็เป็นเดรัจฉานแต่สังขาร แต่จิตใจยังประเสริฐ มีปัญญา กรุณา เมตตา มากกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก และสัตว์อื่นๆ ในป่า อันเราศึกษาได้จากพระชาดก เช่น บางชาติท่านเกิดเป็นนกตัวเล็กๆ แต่เอากายของตนเองไปจุ่มน้ำจนชุ่ม แล้วบินมาสลัดขนเพื่อจะดับไฟป่า ช่วยเหลือชีวิตสัตว์ทั้งปวง เป็นต้น ดังนั้น การเกิดของโพธิสัตว์ ไม่ใช่เกิดเพื่อใช้กรรม แต่เกิดเพื่อสร้างบารมี สังสารวัฏแห่งนี้ เป็นกองบุญใหญ่ที่ หมู่พระโพธิสัตว์หมายจะมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ผู้มีโพธิจิตยิ่งแล้ว จะมีแต่สมัครใจมาเกิดในสังสารวัฏ เพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ มาเกิดเป็นกัลยาณมิตรของหมู่สัตว์ เราท่านทั้งหลายก็สามารถเลือกได้ในปัจจุบันว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร จนมีคำกล่าวหนึ่งในมหายานว่า "พระโพธิสัตว์เป็นผู้หมายมุ่งพุทธภูมิยิ่งนัก แต่กลับหันหลังให้พุทธภูมิ แล้วมุ่งหน้าสู่สังสารวัฏ" เพราะพระโพธิสัตว์ ไม่ได้เห็นกายสังขาร หรือภพภูมิที่เกิดว่าสำคัญ เพราะสังขารนั้น เป็นเครื่องครองให้ทำประโยชน์ เพื่อสั่งสมบารมี หาประสบการณ์ต่างหาก เป็นผู้มีจริตอัธยาศัยยิ่งใหญ่ที่สั่งสมมานานประมาณชาติภพไม่ได้มาแล้ว เรียกว่ามี “มหาจิต” ดังนั้น หากเราทั้งหลาย ยังเกรงกลัวการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือปรารถนาเป็นเทวดา นั้นหมายความว่า ยังเป็นผู้ละความสุขเฉพาะตนไม่ได้ ทั้งนี้ บรรดาโพธิสัตว์จึงต้องอาศัยพุทธพละเป็นที่พึ่ง ให้ไม่เสื่อมถอยจากโพธิจิต กรณีการประพฤติตามจริยาของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ก็เช่นเดียวกันนี้ คือขอพึ่งพุทธานุภาพของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า

มหาปณิธานประการที่๓ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว ด้วยอุบายโกศลแห่งปัญญาญาณอันหาประมาณแลหาขอบเขตมิได้ จักยังให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้ถึงพร้อมในเครื่องใช้ทั้งปวงมิหมดสิ้น

ข้อนี้ คือการสนองความต้องการของสัตว์โลกทางกาย เราอาจสงสัยว่าท่านจะช่วยเราได้อย่างไร หากเราต้องการมีเงินมากๆ ได้รถคันใหม่ ได้บ้านหลังโตๆ ในสายตาของผู้ที่เห็นแต่ประโยชน์ของตนเอง ก็จะเข้าใจว่าพระองค์มีปณิธาน เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ผู้ที่สวดมนต์ ภาวนา แล้วอธิษฐานขอให้ถูกหวยก็อยู่ในข่ายนี้ แต่สำหรับผู้ที่มีปัญญา มีศีล ย่อมจะบำเพ็ญศีล เจริญปัญญา ถวายเป็นพุทธบูชาต่อพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เมื่อกุศลจากการทำความดีถวายพระองค์ สุขปีติย่อมเกิดที่จิตภายในของผู้นั้นเอง ดังนั้นความปรารถนาทางกาย หรือสุขภายนอกจึงค่อยๆ ได้รับการบำบัด ความอยาก ความต้องการจึงมีปริมาณที่ลดน้อยลง เป็นผู้รู้จักพอ ผู้รู้จักพอจึงเป็นผู้ร่ำรวยที่สุด

ตรงข้าม หากเราภาวนา ระลึกถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ด้วยความโลภที่ไม่สิ้นสุดแล้ว ความโลภนั้น จึงเป็นเครื่องปิดกั้นดวงจิต ให้จิตเดิมแท้ที่สว่าง ไม่อาจส่องประกายแสงออกมาได้ และพระรัศมีของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ก็มิอาจส่องเข้าไปสู่จิตผู้นั้นด้วย เช่นนี้แล้ว จึงเป็นคำตอบว่า เหตุใดเราจึงไม่ได้รับอานิสงค์จากมหาปณิธานข้อนี้ แต่หากเรามีจิตเมตตากรุณา มีความโลภเพียงแต่น้อย มีจิตเป็นผู้ให้มากสักหน่อย เราจะสัมผัสได้ถึงพระรัศมีของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทันที

มหาปณิธานประการที่๔ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากมีสรรพสัตว์ประพฤติมิจฉามรรคจักยังให้สู่โพธิสัมมามรรค หากประพฤติในสาวกยานหรือปัจเจกโพธิยานก็จักยังให้ตั้งอยู่ในมหาพุทธยานธรรม

ความหมายคือ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ทรงมีพุทธประสงค์จะช่วยเหลือ ผู้ที่หลงผิด ผู้ที่ไม่รู้จักพุทธศาสนา ให้มีความเห็นที่ถูกต้อง คือ เชื่อเหตุผลของกรรม ว่าทำดีย่อมได้ดี โลกก่อนและโลกหน้ามีจริง เป็นต้น จากนั้น ยังจะช่วยให้ผู้ประพฤติตนเพื่อสำเร็จเป็นพระสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า ได้หันมาประพฤติตนเพื่อสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ประพฤติตนเป็นพระสาวก คือผู้มองเห็นรู้แจ้งอริยสัจ ๔ ว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นของว่าง, พระปัจเจกโพธิ คือผู้มองเห็นเหตุปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นวัฏจักร ของความเกิดดับ เรียกว่าการมองเห็น ปฏิจจสมุปบาท คือการเข้าใจสรรพสิ่งว่า ไม่สามารถก่อเกิด หรืออยู่ได้ด้วยตนเอง แต่ต้องอาศัยสิ่งต่างๆ ในการตั้งอยู่ มีชีวิตอยู่ กล่าวได้ว่า พระสาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้บรรลุธรรมส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้าอันสามารถนำพาตนให้พ้นทุกข์ แต่ยังไม่ได้บรรลุธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ทำเต็มศักยภาพของตนเอง สามารถสั่งสอนสัตว์โลกได้มากในระดับหนึ่งเท่านั้น หรือเรียกว่า “การหลุดพ้นส่วนบุคคล” เป็นแบบอย่างที่ประเสริฐให้ประพฤติตาม เช่นคำว่า พระพุทธเจ้าเป็นธรรมราชา พระโพธิสัตว์เป็นธรรมราชกุมาร สืบเชื้อสายพุทธโครตมิให้ขาดสิ้น เพราะพระพุทธะและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงล้วนมีโพธิจิตยิ่งใหญ่ พระสาวกเป็นธรรมเสนาบดี ในคัมภีร์ทศภูมิกสูตร ของมหายาน กล่าวว่า แม้นว่าธรรมราชกุมารยังเยาว์วัย แต่ตามศักดิ์แล้วคือเชื้อสายของพระพุทธองค์ จึงได้รับความช่วยเหลือจากบรรดาธรรมเสนาทั้งปวง และธรรมราชกุมารก็ให้ความเคารพธรรมเสนาบดีเพราะ ท่านเป็นผู้สำเร็จราชการแทนไปก่อน ต่อเมื่อธรรมราชกุมารนั้นมีพระชันษา(บารมี) เต็มพร้อม จึงได้ครองโพธิบัลลังก์อภิเษกเป็นธรรมราชา

ส่วนพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ที่บรรลุภูมิชั้นสูงนั้น จะมีความสามารถในการสั่งสอนสัตว์ด้วยวิธีการ หรืออุปายะที่ต่างกัน ตามแต่จริตของสัตว์นั้นๆ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า พระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ มองเห็นสรรพสัตว์ว่า ไม่ได้ต่างจากตนเอง ไม่มีบัญญัติใดๆ มีความเสมอภาค และยังเคยเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง กันมาก่อน จึงมีเมตตากรุณาต่อสัตว์อย่างไม่มีประมาณ เพราะสัตว์โลกเป็นโรค เป็นทุกข์อยู่ โพธิสัตว์ทั้งหลายจึงทุกข์ด้วย

หากเราทำกุศลทั้งปวง ด้วยจิตของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เราก็จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ตลอดจนสัตว์ทั้งปวงด้วยความเคารพ มีความเห็นว่า สัตว์ทั้งปวงดุจบิดามารดา ญาติมิตรที่รักกัน เป็นส่วนหนึ่งกับเรา คนในโลกนี้จะไม่มีความเห็นแก่ตัว สันติสุขจึงเกิดได้เอง ภัยพิบัติต่างๆ จึงสิ้นไปได้

มหาปณิธานประการที่๕ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพสัตว์ทั้งหลายบําเพ็ญพรหมจรรย์ในธรรมแห่งเรา ย่อมมิต้องล่วงละเมิดในศีลทั้งปวง จักรักษากรรมทั้ง๓ได้เป็นอย่างดี ไร้ซึ่งผู้ล่วงละเมิดแล้วตกอบายภูมิแม้นได้ล่วงละเมิดแล้ว ได้สดับนามของเราตั้งจิตจดจําภาวนาด้วยที่สุดแห่งใจแล้วไซร้ ย่อมคืนสู่บริสุทธิภาวะตราบถึงพระโพธิญาณ

หมายถึง ความตั้งใจของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ที่เมื่อชักจูงหมู่สัตว์ให้มีความเห็นถูกต้องแล้ว แต่หมู่สัตว์นั้นได้พลาดพลั้งทำผิดไป พระองค์ก็จะทรงอนุเคราะห์ให้พ้นจากอบายภูมิด้วย มหาปณิธานข้อนี้ ถือเป็นพระกรุณาอย่างที่สุด เพราะปกติผู้ผิดศีลแล้ว ย่อมเป็นผู้ร้อนตัว ภาษาพระเรียก “วิปฏิสาร” ย่อมเกรงกลัวตกสู่อบายภูมิ แต่หากได้ยินพระนามของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า จดจำได้ และภาวนาถึงอย่างสุดจิตสุดใจ คือศรัทธาอย่างไม่เคลือบแคลง ความร้อนใจต่างๆ ที่ปกคลุมดวงจิต ก็จะมลายสิ้นไป เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว ก็ย่อมไปสู่สุขคติ

แต่การได้ยินพระนามของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า แล้วศีลกลับบริสุทธิ์ได้ ไม่ตกไปเป็นสัตว์นรก ผีเปรต และสัตว์เดรัจฉานนั้น ต้องภาวนาต่อไปด้วยความศรัทธาอย่างสุดหัวใจ ต่อเมื่อได้ภาวนาถึงด้วยความไม่เคลือบแคลงเมื่อใด บาปกรรมที่เป็นสิ่งเศร้าหมองของจิตก็จะดับไปพร้อมๆ กัน พระธรรมในมหายานสูตร กล่าวว่า มีบุคคล ๒ จำพวกที่หาได้ยาก คือ ๑.ผู้ที่ไม่เคยทำผิดเลย และ ๒.ผู้ทำผิดแล้วรู้สำนึกอย่างสุดซึ้ง กลับใจ ไม่ทำซ้ำอีก เช่นนี้ อานุภาพของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า จึงจะช่วยให้เราไม่ต้องไปเกิดเป็น สัตว์นรกผีเปรต สัตว์เดรัจฉาน

มหาปณิธานประการที่๖ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพสัตว์มีอินทรีย์ทั้งปวงมิสมบูรณ์ร่างกายอัปลักษณ์ เนตรบอด โสตหนวก โอษฐ์ใบ้ นิ้วมือเท้างอหงิก หลังค่อมโก่งงอ เป็นโรคเรื้อน สติวิปลาสมิสมประดี มีโรคาทุกข์นานารุมเร้าเสียดแทงอยู่ หากได้สดับนามของเราและสรรเสริญระลึกถึงด้วยที่สุดแห่งใจ จักบรรลุศุภลักษณะที่งดงามสรรพโรคามลายสิ้น

มหาปณิธานข้อ ๖ นี้ และข้อ ๗ ถือเป็นหัวใจของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ในฐานะของพระพุทธเจ้าหมอ ความสุขและทุกข์ทั้งปวง ล้วนเกิดจากจิต หากเรามีปัญญา มองเห็นสภาวะตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง และไม่ใช่ตัวเราได้มากเท่าไร ความทุกข์ก็น้อยลงเท่านั้น เพราะมีความยึดมั่นน้อยลง หากสิ่งทั้งหลายมันไม่ได้ดั่งใจ เมื่อมันเสียหายชำรุดไป เราก็ไม่ทุกข์ใจ เมื่อไม่ทุกข์ใจความสุขที่เกิดจากความเข้าใจโลกตามความเป็นจริงจึงเพิ่มขึ้นมา

ในปณิธานข้อนี้ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ บกพร่องนั้นไม่เป็นทุกข์เสียเลย แต่หากเรามองด้วยปัญญา เราจะได้พบความสุขที่จิตใจ ซึ่งเป็นสุขกว่าสุขทางกายหลายเท่านัก ข้อนี้จึงถือเป็นความอัศจรรย์ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า อีกข้อหนึ่ง ซึ่งหากเราพิจารณาตามอักขระ ย่อมถือว่ายังยึดติดในสมมุติบัญญัติ ก็จะเห็นว่ามันไม่อาจเป็นไปได้ แต่หากมองด้วยความไม่มีตัวตนแล้ว ก็จะเห็นความไม่มีตัวตน ที่รับรู้ด้วยใจ

มหาปณิธานประการที่๗ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพสัตว์ทั้งหลายยากจนข้นแค้นลำบากแสนเข็ญไร้ที่พึ่งพิงอาศัย มีโรคทั้งปวงรุมเร้าไร้โอสถบําบัด โรคไร้แพทย์ผู้รักษา เมื่อได้สดับนามของเราแล้วเพียงชั่วขณะสรรพโรคาจักดับสิ้น วงศ์ตระกูลรุ่งเรืองโภคทรัพย์มิขาดแคลน กายแลใจผาสุกตราบถึงพระโพธิญาณ

ปณิธานข้อนี้ คล้ายคลึงกับข้อ ๖ เพียงแต่ข้อ ๖ เป็นเรื่องเฉพาะตนของผู้ป่วยเอง ส่วนข้อที่ ๗ กล่าวถึงสภาพสังคม ทั้ง ๒ สิ่งนี้ ก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวตน บุคคล เราเขา จึงเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป เพราะยังมีความอยาก เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ หากเราสละความอยากขั้นหยาบที่สุด คือส่วนเกินของการดำรงชีวิต คือการฟุ้งเฟ้อ ความกระหายในลาภ ยศ สรรเสริญแล้ว

จากนั้น จึงมาละความอยากขั้นพื้นฐานที่เกินพอดี คือความอยากในอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัยที่เกินพอดี ก็จะอยู่ได้อย่างพอเพียง ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็จะได้รับความสุขพื้นฐาน ที่ทำให้มนุษย์สามารถอยู่ได้เป็นสุข โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น แล้วจึงมาสละความอยากอย่างละเอียด คือความอยากให้ตนเองสุข เพราะความเข้าใจผิดว่าเป็นตัวเป็นตนของเราจริงๆ เมื่อสละความอยากได้ทุกขั้นตอน ก็จะบรรลุธรรมได้ เหมือนกับพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าที่มีแต่ความปรารถนาให้สัตว์โลกเป็นสุข หากเราทุกท่านไม่เห็นแก่ตัวจนที่สุดทุกกรณี ก็สามารถบรรลุธรรม เป็นพระโพธิสัตว์ได้อย่างแน่นอน

มหาปณิธานประการที่๘ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากมีสตรีถูกความทุกข์ทั้งปวงของความเป็นหญิงรุมเร้า เบื่อหน่ายเป็นที่สุดปรารถนาสละกายของสตรี หากได้สดับนามของเราแล้วสรรเสริญระลึกถึงด้วยที่สุดแห่งใจ กายนี้จักแปรเปลี่ยน กลายเป็นบุรุษสมบูรณ์ด้วยลักษณะของชายชาตรีตราบถึงพระโพธิญาณ

ข้อนี้แสดงให้เห็นแนวคิดของสภาพสังคมอินเดียโบราณที่กดขี่สตรี แม้นในปัจจุบันที่กล่าวว่า ชายหญิงเสมอภาคกัน แต่สตรีเพศก็ยังถูกรังแกอยู่ และเป็นความเชื่อที่ว่า ผู้เกิดเป็นหญิงนั้น เพราะทำกรรมมาในชาติก่อน จึงต้องมาอุ้มท้อง และได้รับทุกข์ต่างๆ แม้คำว่า “แม่” เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์และทรงคุณค่า แต่ในสายตาของสังคม ก็ยังมีการแบ่งแยกและถูกข่มเหงอยู่ดี ปณิธานของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ข้อนี้ มุ่งสอนให้เราละวาง ทวิภาวะ หรือความเห็นที่มองสรรพสิ่ง ว่าต่างกัน เป็นสอง ไม่เป็นหนึ่งเดียว

เพราะความเห็นเช่นนี้จึงทำให้เราเวียนว่ายในสังสารวัฏ เพราะความเห็นผิด ยึดมั่นถือมั่น ในตัวตน ความเป็นหญิงชาย ความเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เป็นบทบาทต่างๆ บางคนที่ยึดติดในบทบาทนั้น เป็นคนที่น่าสงสารกว่าการเกิดเป็นหญิงเสียอีก เพราะเป็นผู้ยึดมั่นหลงผิดถึงที่สุด ข้อความในพระสูตรที่ว่าด้วยเรื่องพุทธเกษตรต่างๆ เช่น แดนสุขาวตีของพระอมิตาภะพุทธเจ้า และแดนศุทธิไวฑูรย์ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ฯลฯ ก็กล่าวถึงความไม่มีสตรีเพศในดินแดนเหล่านั้น ซึ่งล้วนแต่มีความหมายตามที่กล่าวแล้วข้างต้น และมีคำสอนว่าสังสารวัฏและพระนิพพานไม่ต่างกัน ศุทธิไวฑูรย์และสหาโลกธาตุแห่งนี้ก็ไม่ต่างกัน ที่เห็นต่างกันเพราะเรายังละวางความแบ่งแยกไม่ได้

มหาปณิธานประการที่๙ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว จักยังให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้ออกจากมารชาละ ยังมีพลพรรคของมิจฉาทิฐินานาประการซึ่งจักสงเคราะห์ไว้ทั้งสิ้น ยังให้เกิดสัมมาทิฐิค่อยๆได้ศึกษาบําเพ็ญโพธิสัตวจริยาทั้งปวงตราบถึงพระโพธิญาณ

มารชาละ คือ ตาข่ายของมาร มารคือมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด ความเห็นผิดนี้ ถือเป็นอวิชชา ที่หลอกให้หมู่สัตว์หลงผิด เห็นผิดว่าเป็นตัวตน บุคคล เราเขา เห็นว่าสรรพสิ่งนั้นเที่ยงแท้ ไม่เสื่อมสลาย ไม่สิ้นไป สร้างบัญญัติขึ้นมา ผูกมัดตัวเองทีละอย่าง ยึดมั่นในกาย ในจิต จนถึงการยึดมั่นในธรรม ในข้อนี้เป็นพุทธประสงค์ ให้สละความเห็นผิดจนถึงที่สุด จนได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า มหายานธรรมมีคำสอน โดยสรุปคร่าวๆ ว่า ผู้ละวางความยึดมั่นถือมั่นกายและใจ เห็นแจ้งอริยสัจได้ จึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ ผู้ละความความแบ่งแยกเห็นแจ้งปฏิจจสมุปบาทได้จึงได้บรรลุปัจเจกโพธิ ผู้ละวางสัญญาที่ลวงหลอกรู้แจ้งปุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตาได้จึงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า จึงทราบได้ว่า ความหลงผิดนั้นมีหลายระดับ เมื่อใดที่สละทิ้งทั้งธรรมที่พาให้เราบรรลุได้ จึงชื่อว่าไม่ยึดมั่นอย่างแท้จริง

มหาปณิธานประการที่๑๐ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องราชอาญาถูกจองจําในกรงขังพันธนาการด้วยโซ่ตรวน ถูกโบยตีจนถึงประหารชีวิต ยังมีเรื่องราวอันเป็นทุกข์มากมายที่บีบคั้นให้ทุกข์โศกไร้ซึ่งความสุขเพียงชั่วครู่ หากได้สดับนามของเราด้วยเหตุแห่งอํานาจคุณธรรมบารมีของเรา จักยังให้หลุดพ้นจากความทุกข์โศกทั้งปวงตราบถึงพระโพธิญาณ

ปณิธานข้อนี้ กล่าวถึง “ภัยของพระราชา” ในสมัยอินเดียโบราณ อำนาจทั้งปวงอยู่ที่พระราชา เป็นดั่งสมมติเทพ มีพระราชอำนาจอยู่เหนือสรรพสิ่งในแผ่นดิน ดังนั้นหากพระราชา ไม่พอพระทัย ชีวิตบรรดาไพร่ฟ้าก็ตกอยู่ในความอันตราย หาความแน่นอนมิได้ ดังนั้น ราชภัย จึงถือเป็นภัยที่นอกเหนือการควบคุมอย่างหนึ่ง

แต่ในยุคปัจจุบัน อาจจะเป็นภัยจากกฎหมายหรือภัยทางการเมือง เช่นการใช้กฎหมายในทางที่ผิด เป็นเครื่องมือของคนมีอำนาจและคนเจ้าเล่ห์ รวมไปถึงความทุกข์ที่ไม่ได้กล่าวถึงต่างๆอีก ปณิธานข้อนี้กล่าวว่า “มีความทุกข์มากมายที่บีบคั้นให้ทุกข์โศก ไร้ซึ่งความสุขเพียงชั่วครู่” หากได้ยินพระนามของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า และ “ด้วยเหตุแห่งคุณธรรมบารมีของเรา” ยังให้หลุดพ้นจากความทุกข์โศกทั้งปวง

ปณิธานข้อนี้ มีนัยยะทางธรรมคือ มิจฉาทิฐิ อวิชชา ประดุจกรงขัง ใจเรานี่เองเป็นดุจพระราชา เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจมีอำนาจ แม้ใจเองก็ไม่เที่ยง ผันแปรตลอดเวลา หากเราลืมกายลืมใจเราเอง คือไม่มีสติ ภัยใหญ่หลวง คือการเวียนว่ายตายเกิด ย่อมเกิดขึ้นเพราะใจที่หลงผิด จึงเกิดเป็นความทุกข์มากมาย จนหาความสุขไม่ได้เลย แต่ด้วยพระคุณธรรมของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าแห่งยา ทรงใช้ธรรมโอสถ คือพระคุณธรรมหลักของพระองค์เยียวยาความทุกข์ทั้งหลายได้

มหาปณิธานประการที่๑๑ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกข์ทรมานจากทุพภิกขภัย(ข้าวยากหมากแพง) เหตุที่ต้องการอาหารจึงกระทําความชั่วทั้งปวง หากได้สดับนามของเราแล้วสรรเสริญระลึกถึงด้วยที่สุดแห่งใจ เราจักยังให้อิ่มเอมในโภชนารสเลิศตามจิตปรารถนาก่อนแล้วใช้ธรรมรสยังให้ตั้งอยู่ในบรมสุขในภายหลังตราบถึงพระโพธิญาณ

เราไม่อาจปฏิเสธ ความทุกข์ที่เกิดขึ้น โดยที่ใจไปรับรู้เข้า และเป็นการยากที่จะละวางกายกับจิตว่าเป็นคนละส่วน เพราะกายและจิตติดกันแน่นมานานแสนนาน ตามทฤษฏีเราอาจเข้าใจว่า สุขเกิดขึ้นเพราะความชอบใจ ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการไม่ชอบใจ สิ่งที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้น เพราะเสียง รูป กลิ่น รส สัมผัส ไปกระทบที่หู ตา จมูก ลิ้น กายแล้วใจเราไปปรุงแต่งเข้า จนเกิดความยึดมั่นในความสุข แล้วปรุงแต่งให้มันสุขยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อสนองกิเลส เหมือนเชือกที่ผูกมัดตัวเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ

ในข้อนี้หากผู้ที่ละวางได้ถึงที่สุด ย่อมถึงพระนิพพาน คือความดับ ความเย็น แต่หากผู้ละได้ชั่วคราว ก็เย็นชั่วคราว คืออยู่เป็นสุขไม่ทุกข์ร้อนเพราะกิเลสมันเผาไม่ได้ชั่วคราว ทั้งนี้ อยู่ด้วยปัญญาที่อบรมมา

พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทรงทราบว่า สัตว์ทั้งปวง ล้วนแต่มีพุทธภาวะ คือ ความสามารถรู้แจ้งเป็นพระพุทธะได้ จึงทรงมีพระเมตตากรุณา ต่อสัตว์โลกอย่างไม่มีประมาณ เพราะทรงมองสัตว์โลกไม่ต่างกับพระองค์ ทุกคนย่อมรู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก นั่นคือ การมีพุทธภาวะอยู่ภายใน แต่เราไม่สามารถเอาชนะกิเลส คือปล่อยใจไปตามกิเลส จึงทำให้ก่อกรรมชั่วอยู่เรื่อยไป

ในกรณีผู้ต้องทำกรรมชั่วเพื่อเลี้ยงชีพ ท่านให้ดูที่เจตนา เช่นว่า การฆ่าสัตว์เพื่ออาหาร กับการฆ่าสัตว์เพื่อการกีฬา เช่นการแข่งขันตกปลา แข่งขันล่าสัตว์ หรือการฆ่าสัตว์มากินจนเกินความจำเป็น น้ำหนักของกรรมก็ต่างกัน ด้วยพระปณิธานและพระเมตตาของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า หมายจะอนุเคราะห์สัตว์ที่ทำกรรมชั่วเพราะจำเป็น พระองค์จึงทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์ทุกหมู่เหล่า ไม่เลือกชั้นวรรณะโดยแท้

ด้วยพุทธานุภาพจะบันดาลให้ผู้ที่ทำกรรมชั่วเพื่อเลี้ยงชีพ ค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และอาชีพให้ถูกต้องสมควรได้เอง เพราะผู้น้อมรับ ศรัทธาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าแล้ว ก็คือ ผู้เกิดโพธิจิต ที่กำลังจะมีวิบากกรรมลดน้อยลง มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ไม่อดยากจึงไม่ต้องทำความชั่วอีก และสติปัญญาก็จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้นจนได้รับธรรมรส ถึงพระนิพพาน แต่ทั้งปวงนี้ เนื่องอยู่ด้วยความศรัทธาที่ไม่เคลือบแคลงเท่านั้น

มหาปณิธานประการที่๑๒ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแล้ว หากสรรพสัตว์ทั้งหลายกายปราศจากอาภรณ์ได้รับทุกข์จากแมลงยุงและความหนาวร้อน หากได้สดับนามของเราแล้วสรรเสริญระลึกถึงด้วยที่สุดแห่งใจ จักได้รับอาภรณ์ที่ดีเลิศเครื่องประดับรัตนะเครื่องดนตรีของหอมดอกไม้นานาชนิดอย่างบริบูรณ์ ไกลจากทุกข์เศร้าหมองทั้งปวงตราบถึงพระโพธิญาณ

ข้อ ๑๒ นี้มีความคล้ายข้อที่ ๑๑ ที่มุ่งดับทุกข์แก่ผู้ยากไร้ ที่หากเราได้ศึกษาธรรม จากมหาปณิธานทั้ง ๑๑ ประการข้างต้นแล้ว ความทุกข์ยาก หิวกระหาย เพราะความเห็นผิด ความยึดมั่นถือมั่น ความทะยานอยากก็จะทุเลาเบาบางไปมาก จนถึงพระโพธิญาณ ดังนั้น หากเราไม่ยึดมั่นอยู่ในทุกข์หรือสุขทั้งปวงแล้ว ผู้ที่กายอดอยากย่อมมีใจอิ่มเอม ผู้ที่กายพิการย่อมมีจิตใจสมบูรณ์ ผู้ร่างกายไม่น่าดู ไม่น่ารัก ย่อมมีจิตใจงดงามบริสุทธิ์

ตรงข้ามกับผู้มีร่างกายที่เสพอาหารจนอิ่ม แต่มีจิตใจไม่รู้จักพอ ผู้มีร่างกายงดงามน่าดู แต่จิตใจสกปรก น่ารังเกียจ หากเราทั้งหลายบูชา ศรัทธา และภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า จึงควรทราบว่า พระองค์มุ่งเปลื้องทุกข์ที่อยู่ภายในสู่ภายนอกเป็นสำคัญ ความหมายคือ เมื่อขจัดความเห็นผิดแล้ว จึงมีการกระทำที่ถูกต้อง จึงได้รับแต่สิ่งดีงาม แล้วไม่ตกสู่อบายภูมิอีกต่อไป

พระมหาปณิธานต่างๆ ของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ทั้งปวง แม้มีจำนวนอสงไขยก็เพื่อจุดประสงค์หนึ่งเดียว แม้มีจุดประสงค์หนึ่งเดียวก็แสดงปณิธานจำนวนอสงไขย ด้วยอุปายะวิธี แก่หมู่สัตว์ที่มีจริตต่างกันให้เข้าใจ เรียนรู้ได้มากที่สุด ถือเป็นพระมหากรุณา มหาปัญญา มหาอุปายะที่ไม่มีประมาณ และมหาปณิธานของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านี้ หากยังไม่สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายแล้ว พระองค์ก็จะมิเสด็จสู่มหาปรินิพพานเช่นกัน และเพราะเราทั้งหลายยังมีจิตที่แปดเปื้อนอยู่จึงเห็นโลกนี้แปดเปื้อน หากจิตเราบริสุทธิ์แล้ว โลกนี้ก็คือศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตร ทุกคนในโลกล้วนคือพระโพธิสัตว์ ที่กำลังดำเนินปฏิปทาสู่ความรู้แจ้งสูงสุด เสียงต่างๆ ในโลก ล้วนคือ เสียงแห่งธรรมที่ว่าด้วย ความไม่เที่ยง ความไม่มีตัวตน ความว่างเปล่า ทั้งสิ้น

บัดนี้สมควรแก่เวลา ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย พระพุทธบารมีของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดบันดาลให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้สุขกาย สุขใจ ไร้โรคาพยาธิ มีสติปัญญาแตกฉาน ไม่เสื่อมถอยจากโพธิจิต และมีความสมบูรณ์ในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ ตราบถึงพระโพธิญาณทุกท่านเทอญ.